You are here: BP HOME > PT > Khuddakanikāya: Apadāna > fulltext
Khuddakanikāya: Apadāna

Choose languages

Choose images, etc.

Choose languages
Choose display
  • Enable images
  • Enable footnotes
    • Show all footnotes
    • Minimize footnotes
Search-help
Choose specific texts..
    Click to Expand/Collapse Option Complete text
Click to Expand/Collapse OptionBuddhāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionPaccekabuddhāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionTherāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionTherī Apadāna
Atha therāpadānaṃ sunātha:-- 
ประวัติในอดีตชาติของพระเถระ 
1. Sāriputta. 
๑. สารีปุตตเถราปทาน (ประวัติในอดีตชาติของพระสารีบุตรเถระ) (พระอานนทเถระกล่าวว่า) ต่อไปนี้ ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังประวัติ ในอดีตชาติของพระเถระทั้งหลาย (ต่อไป) (พระสารีบุตรเถระบรรลุสาวกบารมีญาณแล้วได้อุทานขึ้นว่า) 
Himavantass’ avidūre Lambako nāma pabbato /
assamo sukato mayhaṃ paṇṇasālā sumāpitā. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๑] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมพานต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อลัมพกะ
(ใกล้ๆ ภูเขาลัมพกะนั้น) เขาสร้างอาศรม
และสร้างบรรณศาลาไว้อย่างดีเพื่อข้าพเจ้า 
Uttānakūlā nadikā supatiṭṭhā manoramā /
sasuddhapuḷinākiṇṇā avidūre mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๒] ในที่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า มีแม่น้ำสายหนึ่งมีฝั่งตื้น
ท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ
มีทรายสะอาดเรี่ยรายกระจายอยู่ทั่ว 
Asakkharā apabbhārā sādu appaṭigandhikā /
sandati nadikā tattha sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๓] ในที่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้านั้น
มีแม่น้ำไม่มีก้อนกรวด ไม่มีเงื้อมยื่นง้ำออกมา
น้ำมีรสดี ไม่มีกลิ่น ไหลไป
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Kumbhīlā makarā c’ ettha suṃsumārā ca kacchapā /
sandati nadikā tattha sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๔] ในแม่น้ำ มีฝูงจระเข้ ฝูงมังกร
ฝูงตะโขง และฝูงเต่า แหวกว่ายไปมา
ในแม่น้ำสายนั้น ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Pāṭhīnā pāvusā macchā jalajā muñjarohitā /
vagguḷā ca patāyanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๕] ฝูงปลาสลาด ฝูงปลากระบอก
ฝูงปลาสวาย ฝูงปลาเค้า ฝูงปลาตะเพียน
ฝูงปลานกกระจอก ว่ายเวียนไปมา
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Ubho kūlesu nadiyā pupphino phalino dumā /
ubhato abhilambanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๖] ที่ฝั่งทั้ง ๒ ของแม่น้ำ หมู่ไม้ดอก ไม้ผล
ห้อยระย้าอยู่ทั้ง ๒ ฝั่ง
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Ambā kolakā tilakā pāṭalī sindhuvāritā /
dibbā gandhā sampavanti pupphitā mama assame. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๗] ต้นมะม่วง ต้นสาละ ต้นหมากเม่า
ต้นแคฝอย ต้นย่านทราย มีดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์อยู่รอบๆ อาศรมของข้าพเจ้า 
Campakā saḷalā nīpā nāgapunnāgaketakā /
dibbā gandhā sampavanti pupphitā mama assame. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๘] ต้นจำปา ต้นช้างน้าว ต้นกระทุ่ม ต้นกากะทิง
ต้นบุนนาค และต้นการะเกด มีดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์อยู่รอบๆ อาศรมของข้าพเจ้า 
Atimuttā asokā ca bhaginimālā ca pupphitā /
aṅkolā bimbijālā ca pupphitā mama assame. // ApTha_1,1. // 
[๑๔๙] ต้นลำดวน ต้นอโศก ต้นกุหลาบ
มีดอกบานสะพรั่ง ต้นปรู และต้นมะกล่ำหลวง
ก็มีดอกบานสะพรั่งอยู่รอบๆ อาศรมของข้าพเจ้า 
(016) Ketakā kandalī c’ eva kebukā tiṇasūlikā /
dibbā gandhā sampavanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๐] ต้นลำเจียก ต้นกล้วย ต้นพิกุล และต้นมะลิซ้อน
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Kaṇṇikārā kaṇikā ca asanā añjanī bahū /
dibbā gandhā sampavanti sobhamānā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๑] ต้นกรรณิการ์ ต้นกรรณิการ์เขา
ต้นประดู่ ต้นอัญชัน มากมาย
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Punnāgā giripunnāgā koviḷārā ca pupphitā /
dibbā gandhā sampavanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๒] ต้นบุนนาค ต้นบุนนาคเขา ต้นแคฝอย
มีดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Uddālakā ca kuṭajā kadambā vakuḷā bahū /
dibbā gandhā sampavanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๓] ต้นราชพฤกษ์ ต้นอัญชันเขียว
ต้นกระทุ่ม และต้นพิกุล มากมาย
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
Āḷakā isimuggā ca kadalī mātuluṅgiyo /
gandhodakena saṃvaddhā phalāni dhārayanti te. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๔] ถั่วดำ ถั่วเหลือง ต้นกล้วย
ต้นมะงั่ว งอกงามด้วยน้ำหอม
ออกฝัก ออกผล(เป็นทองคำ ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม) 
Aññe pupphanti padumā aññe jāyanti kesarī /
aññe opupphā padumā taḷāke pupphitā tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๕] (ในบึงใกล้ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) ปทุมบางกอกำลังมีดอกตูม
บางกอมีเกสรกำลังแย้ม บางกอมีเกสร(ในกลีบ)ร่วงหล่น
บางกอมีดอกบานสะพรั่งอยู่ในบึง ในครั้งนั้น 
Gabbhaṃ gaṇhanti padumā niddhāvanti muḷāliyo /
siṅghāṭipattamākiṇṇā sobhayanti taḷākaṃ tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๖] ปทุมบางกอกำลังมีดอกตูม
เหง้าบัวเลื้อยไปทั่ว กอกระจับมีใบดารดาษ
งดงามอยู่ในบึง ในครั้งนั้น 
Nayitā ambagandhī ca utūḷhi bandhujīvakā /
dibbā gandhā sampavanti taḷāke pupphitā tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๗] ต้นตาเสือ ต้นจงกลนี ต้นอุตตลี และต้นชบา
มีดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
อยู่ใกล้ๆ บึง ในครั้งนั้น 
Pāṭhīnā pāvusā macchā valajā muñjarohitā /
saṅkulā maggurā c’ eva vasanti taḷāke tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๘] ฝูงปลาสลาด ฝูงปลากระบอก
ฝูงปลาสวาย ฝูงปลาเค้า ฝูงปลาตะเพียน
ฝูงปลาสังกุลา(ปลาลูกดอก) และฝูงปลาทอง
อาศัยอยู่ในบึง ในครั้งนั้น 
Kumbhīlā suṃsumārā ca tantiggāhā ca rakkhasā /
ogahā ajagārā ca vasanti taḷake tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๕๙] (ใกล้ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) มีฝูงจระเข้ ฝูงตะโขง1
ฝูงปลาฉนาก2 ฝูงผีเสื้อน้ำ(ยักษ์ร้าย)ฝูงงูหลาม
ฝูงงูเหลือมอาศัยอยู่ในบึง ในครั้งนั้น 
Pārevatā ravihaṃsā cakkavākā nadīcarā /
kokilā sukasāḷī ca upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๐] (ใกล้ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) มีฝูงนกพิราบ ฝูงนกเป็ดน้ำ
ฝูงนกจักรพาก3 ฝูงนกกาน้ำ ฝูงนกดุเหว่า
ฝูงนกแก้ว และนกสาลิกา อาศัยสระนั้นหากิน 
Kukutthakā kulīrakā vane pokkharasātakā /
diṇḍibhā suvapotā ca upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๑] ฝูงนกกวัก (ไก่เถื่อน ไก่ป่า) ฝูงไก่ป่า
ฝูงนกนางนวล ฝูงนกต้อยตีวิด
ฝูงนกแขกเต้า อาศัยสระนั้นหากิน (ใกล้ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) 
(017) Haṃsā koñcā mayūrā ca kokilā tambacūḷakā /
sampakā jīvajīvā ca upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๒] ฝูงหงส์ ฝูงนกกระเรียน ฝูงนกยูง
ฝูงนกดุเหว่า ฝูงไก่งวง ฝูงนกช้อนหอย4
ฝูงนกโพระดก (นกกระจอก นกออก) อาศัยสระนั้นหากิน 
Kosikā poṭṭhasīsā ca kurarā senakā bahū /
mahākāḷā ca sakuṇā upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๓] ฝูงนกแสก (นกเค้าแมว นกทึดทือ) ฝูงนกหัวขวาน
ฝูงนกออกขาว (นกเขา) ฝูงนกเหยี่ยวดำ
ฝูงนกกาน้ำ มากมาย อาศัยสระนั้นหากิน 
Pasadā ca varāhā ca vakabheraṇḍakā bahū /
rohiccā suggapotā ca upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๔] ฝูงเนื้อฟาน (อีเก้ง) ฝูงหมูป่า ฝูงสุนัขจิ้งจอก
(หมาป่า หมาใน) ฝูงแรด ฝูงละมั่ง
ฝูงเนื้อทราย อาศัยสระนั้นหากิน 
Sīhā vyagghā ca dīpī ca acchakokataracchayo /
tidhappabhinnā mātaṅgā upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๕] ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง
หมี หมาใน เสือดาว
ช้างตระกูลมาตังคะตกมัน ๓ แห่ง5 (ไม่ทำอันตราย)
อาศัยสระนั้นหากิน 
Kinnarā vānarā c’ eva atho pi vanakammikā /
cetā ca luddakā c’ eva upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๖] เหล่ากินนร (สัตว์ครึ่งคนครึ่งนก) ฝูงวานร
คนทำงานในป่า สุนัขไล่เนื้อ
นายพราน อาศัยสระนั้นหากิน 
Tiṇḍukāni piyālāni madhuke kāsumāriyo /
dhuvaphalāni dhārenti avidūre mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๗] ต้นมะพลับ ต้นมะหาด6 ต้นมะซาง
ต้นหมากเม่า เผล็ดผลทุกฤดูกาล
อยู่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า 
Kosumbhā saḷalā nīpā sāraphalasamāyutā /
dhuvaṃ phalāni dhārenti avidūre mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๘] ต้นคำ7 ต้นสน ต้นกระทุ่ม
สะพรั่งด้วยผลมีรสหวาน เผล็ดผลเป็นประจำ
อยู่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า 
Harīṭakā āmalakā ambā jambuvibhīṭakā /
kolā bhallātakā bellā phalāni dhārayanti te. // ApTha_1,1. // 
[๑๖๙] ต้นสมอไทย ต้นมะขามป้อม ต้นมะม่วง ต้นหว้า
ต้นสมอพิเภก ต้นกระเบา ต้นรกฟ้า
ต้นมะตูม เหล่านั้น เผล็ดผลเป็นนิตย์ 
Ālulā ca kalambā ca bilāni takkaḷāni ca /
jīvakā sahakā c’ eva bahukā mama assame. // ApTha_1,1. // 
Assamassāvidūramhi taḷākā su-sunimmitā /
acchodakā sitajalā supatitthā manoramā. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๑] ใกล้ๆ อาศรม(ของข้าพเจ้า)มีบึงน้ำที่บุญกรรมเนรมิตไว้อย่างดี
มีน้ำใสเย็นสนิท มีท่าน้ำราบเรียบ เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ 
Padumuppalasañchannā puṇḍarīkasamāyutā /
mandālakehi sañchannā dibbo gandho pavāyati. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๒] (สระน้ำเหล่านั้น) ดารดาษด้วยดอกบัวหลวง ดอกบัวขาบ11
สะพรั่งด้วยบัวขาว ดารดาษด้วยบัวเฝื่อน
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์ 
Evaṃ sabbaṅgasampanne pupphite phalite vane /
sukate assame ramme viharāmi ahaṃ tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๓] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าอยู่ในอาศรม
ซึ่งสร้างไว้อย่างดี น่ารื่นรมย์ ในป่ามีไม้ดอกไม้ผล
สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทุกอย่าง ดังกล่าวมานี้ 
Sīlavā vatasampanno jhāyī jhānarato sadā /
pañcābhiññāphalappatto Surucī nāma tāpaso. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๔] ข้าพเจ้าเป็นดาบสชื่อสุรุจิ มีศีล
สมบูรณ์ด้วยข้อวัตร มีปกติเพ่งฌาน
ยินดีในฌานในกาลทุกเมื่อ
สำเร็จอภิญญาพละ ๕ ประการ 
Catubbīsasahassāni sissā mayhaṃ upaṭṭhahuṃ /
sabbe ca brāhmaṇā ete jātimanto yasassino. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๕] ข้าพเจ้ามีศิษย์ ๑,๐๒๔ คน ทั้งหมดนั้น
เป็นพราหมณ์ มีชาติตระกูล มียศ
ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ 
Lakkhaṇe itihāse ca sanighaṇḍu sakeṭubhe /
padakā veyyākaraṇā saddhamme pāramiṅgatā // ApTha_1,1. // 
[๑๗๖] ศิษย์ของข้าพเจ้าเข้าใจตัวบท(หลักไวยากรณ์)
ฉลาดในการพยากรณ์ สำเร็จวิชาทำนายลักษณะ
วิชาอิติหาสศาสตร์ และไตรเพทอันเป็นธรรมของตน
พร้อมทั้งวิชานิฆัณฑุศาสตร์ และวิชาเกฏุภศาสตร์ 
(018) Uppādesu nimittesu lakkhaṇesu ca kovidā /
paṭṭhābhummantalikkhe te mama sissā susikkhitā. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๗] ศิษย์ของข้าพเจ้าฉลาดในลางบอกเหตุ
ในนิมิตร และในลักษณะ
เป็นผู้ศึกษาดีแล้วในเรื่องดิน
ในภาคพื้นดิน และในอากาศ 
Appicchā nipakā ete appāhārā aloḷupā /
lābhālābhena santuṭṭhā parivārenti maṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๘] ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้มักน้อย
มีปัญญารักษาตน บริโภคแต่น้อย ไม่โลภ
สันโดษตามมีตามได้ ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ 
Jhāyī jhānaratā dhīrā santacittā samāhitā /
ākiñcañaṃ patthayantā parivārenti maṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๗๙] ศิษย์ของข้าพเจ้ามีปกติเพ่งฌาน ยินดีในฌาน
เป็นนักปราชญ์ มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น
ปรารถนาความหมดกังวล ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ 
Abhiññāpāramīpattā pettike gocare ratā /
antalikkhacarā dhīrā parivārenti maṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๐] ศิษย์ของข้าพเจ้าสำเร็จอภิญญา
ยินดีในอาหารซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของบิดา
เหาะไปมาทางอากาศได้
เป็นนักปราชญ์ ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ 
Saṃvutā chasu dvāresu anejā rakkhitindriyā /
asaṃsaṭṭhā ca te dhīrā mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๑] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น สำรวมทวารทั้ง ๖
ไม่หวั่นไหว รักษาอินทรีย์ และไม่คลุกคลี
เป็นนักปราชญ์ หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก 
Pallaṅkena nisajjāya thānā caṅkamanena ca /
vītināmenti te rattiṃ mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๒] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้นหาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
ให้เวลาผ่านไปด้วยการนั่งขัดสมาธิ
การยืน และการจงกรม ตลอดคืน 
Rajanīye na rajjanti dosanīye na dussare /
mohanīye na muyhanti mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๓] ศิษย์ของข้าพเจ้าไม่กำหนัดในวัตถุที่น่ากำหนัด
ไม่ขัดเคืองในวัตถุที่น่าขัดเคือง
ไม่ลุ่มหลงในวัตถุที่น่าลุ่มหลง หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก 
Iddhivīmaṃsamānā te vattanti niccakālikaṃ /
paṭhaviṃ te pakampenti sārambhena durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๔] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
ด้วยการแข่งดีทดลองแสดงฤทธิ์อยู่เป็นนิตย์
บันดาลให้แผ่นดินไหวได้ 
Kīḷamānā ca te sissā kīḷanti jhānakīḷitaṃ /
jambuto phalam ānenti mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๕] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เมื่อจะเล่น ก็เล่นฌาน(เข้าฌาน)
ไปนำผลหว้ามาได้ 
Aññe gacchanti Goyānaṃ aññe Pubbavidehanaṃ /
aññe Uttarakuruṃ ca mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๖] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น พวกหนึ่งไปอปรโคยานทวีป
พวกหนึ่งไปปุพพวิเทหทวีป พวกหนึ่งไปอุตตรกุรุทวีป 
Purato khāriṃ pesenti pacchato ca vajanti te /
catuvīsaṃsahassehi chāditaṃ hoti ambaraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๗] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น ส่งหาบ(บริขารดาบส)
ไปข้างหน้า ส่วนตนเองไปทีหลัง
ท้องฟ้าถูกดาบส ๑,๐๒๔ รูป ปิดบังไว้แล้ว 
Aggipākī anaggī ca dantodukkhalikā pi ca /
asmena koṭṭhikā keci pavattaphalabhojanā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๘] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น พวกหนึ่งเผา(ผลไม้น้อยใหญ่และผัก)ไฟฉัน
พวกหนึ่งไม่เผาไฟฉันดิบๆ พวกหนึ่งกระแทะเปลือกออกฉัน
พวกหนึ่งตำฉัน พวกหนึ่งเอาหินทุบฉัน
พวกหนึ่งฉันผลไม้ที่หล่นเอง 
Udakorohakā keci sāyaṃ pāto suciratā /
toyābhisekacaraṇā mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๘๙] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
พวกหนึ่งรักความสะอาดลงอาบน้ำทั้งเช้าทั้งเย็น
พวกหนึ่งตักน้ำอาบ 
Parūḷhakacchanakhalomā paṅkadantā rajassirā /
gandhitā sīlagandhena mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๐] ศิษย์ของข้าพเจ้า(ประพฤติวัตร)
ปล่อยเล็บมือเล็บเท้าและขนรักแร้ยาว
ขี้ฟันเขลอะ ศีรษะเปื้อนธุลี
แต่หอมด้วยกลิ่นศีล หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก 
(019) Pāto 'va sannipātetvā jaṭilā uggatāpanā /
labhālabhaṃ pakittetvā gacchanti ambare tadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๑] ดาบสทั้งหลายผู้ทรงชฎา
มีตบะแก่กล้า ประชุมกันแต่เช้าแล้ว
ประกาศลาภน้อย ลาภใหญ่ให้ทราบแล้ว เหาะไปในท้องฟ้า 
Etesaṃ pakkamantānaṃ mahāsaddo pavattati /
ajinacammasaddena moditā honti devatā. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๒] เมื่อดาบสเหล่านั้นเหาะไป เสียงดังย่อมสะพัดไป
ทวยเทพย่อมยินดีเพราะได้ยินเสียงหนังสัตว์ 
Disodisaṃ pakkamanti antalikkhacarā isī /
sakabalen’ upatthaddhā te gacchanti yadicchakaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๓] ฤๅษีผู้เหาะไปทางอากาศไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
ฤๅษีเหล่านั้นมีกำลังของตนอุปถัมภ์ จึงไปได้ตามปรารถนา 
Pathavīkampakā ete sabbe 'va nabhacārino /
uggatejā duppasahā sāgaro 'va akkhobhiyā. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๔] ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดทำแผ่นดินให้ไหว
เที่ยวไปในอากาศ มีเดชแผ่ไป
ใครๆ ไม่อาจข่มได้ ผู้อื่นไม่อาจให้หวั่นไหวได้
ดังสมุทรสาครที่ใครอื่นให้กระเพื่อมไม่ได้ 
Ṭhānacaṅkamiyā keci, keci nesajjikā isī /
pavattabhojanā keci mama sissā durāsadā. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๕] ฤๅษีผู้เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า
บางพวกยืนและเดินจงกรม บางพวกถือการนั่งเป็นวัตร
บางพวกฉันใบไม้ที่หล่นเอง หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก 
Mettāvihārino ete hitesī sabbapāṇinaṃ /
anattukkaṃsakā sabbe na te vambhenti kassaci. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๖] ศิษย์ของข้าพเจ้าเหล่านั้นมีปกติอยู่ด้วยการแผ่เมตตา
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
ไม่ยกตน ไม่ข่มใครๆ 
Sīharājā va 'sambhīto gajarājā va thāmavā /
durāsadā vyaggha-r-iva agacchanti mam antike. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๗] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้นไม่สะดุ้งกลัวอะไร
เหมือนราชสีห์ มีกำลังเหมือนพญาคชสาร
หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เหมือนพญาเสือโคร่ง ย่อมมาอยู่ใกล้ข้าพเจ้า 
Vijjādharā ca devatā nāga-gandhabba-rakkhasā /
kumbhaṇḍā dānavā garuḷā upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๘] พวกวิทยาธร พวกเทวดา นาค
คนธรรพ์ ผีเสื้อน้ำ กุมภัณฑ์ ทานพ(อสูร)
ครุฑ อาศัยสระนั้นหากิน 
Te jaṭā khāribhārikā ajinuttaravasino /
antalikkhacarā sabbe upajīvanti taṃ saraṃ. // ApTha_1,1. // 
[๑๙๙] ศิษย์ของข้าพเจ้าเหล่านั้นเกล้าชฎา
คอนบริขาร นุ่งห่มหนังสัตว์
เที่ยวไปในอากาศได้ทุกตน อาศัยสระนั้นหากิน 
Tadānucchavikā ete aññamaññaṃ sagāravā /
catubbīsaṃsahassānaṃ khittasaddo na vijjati. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๐] ครั้งนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้เหมาะสมกันและกัน
มีความเคารพต่อกันและกัน
ศิษย์ ๑,๐๒๔ คน ไม่มีเสียงไอเสียงจามเลย 
Pāde pādaṃ nikkhipantā appasaddā susaṃvutā /
upasaṅkamma sabbe va sirasā vandare mamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๑] ศิษย์เหล่านั้นเดินเข้าแถวกัน เงียบเสียง
สำรวมดี ทั้งหมดเข้ามากราบข้าพเจ้าด้วยเศียรเกล้า 
Tehi sissehi parivuto santehi ca tapassihi /
vasāmi assame tattha jhāyī jhānarato ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๒] ข้าพเจ้ามีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน
อยู่ในอาศรมแห่งนั้นมีศิษย์เหล่านั้นแวดล้อม
ซึ่งเป็นผู้สงบ มีตบะ 
Isīnaṃ sīlagandhena pupphagandhena cūbhayaṃ /
phalinaṃ phalagandhena gandhito hoti assamo. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๓] อาศรมของข้าพเจ้าหอมด้วยกลิ่น ๒ อย่าง
คือกลิ่นศีลของเหล่าฤๅษีและกลิ่นดอกไม้
ผลไม้ของต้นไม้ที่ผลิดอกออกผล 
Rattindivaṃ na jānāmi arati me na vijjati /
sake sisse ovadanto bhiyyo hāsaṃ labhām’ ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๔] ข้าพเจ้าไม่รู้คืนและวัน
ความไม่พอใจมิได้มีแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสั่งสอนศิษย์ของตนได้ความร่าเริงอย่างยิ่ง 
Pupphānaṃ pupphamānānaṃ phalānaṃ cāpi paccataṃ /
dibbā gandhā pavāyanti sobhayantā mam’ assamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๕] เมื่อดอกไม้บานและผลไม้สุก
มีกลิ่นทิพย์หอมฟุ้งไป
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม 
(020) Samādhimhā vuṭṭhahitvā ātāpī nipako ahaṃ /
khāribhāraṃ gahetvāna vanam ajjhogahiṃ ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๖] ข้าพเจ้าออกจากสมาธิแล้ว
มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญารักษาตน
คอนหาบบริขาร(ดาบส)เข้าป่าไป 
Uppāde supine cāpi lakkhaṇe susikkhito /
pavattamānaṃ mantapadaṃ dharayāmi ahaṃ tadā. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ศึกษาจนชำนาญ
ในลางบอกเหตุ ในความฝันและในลักษณะทั้งหลาย
ทรงจำบทแห่งมนตร์ที่แพร่หลายอยู่ 
Anomadassī bhagavā lokajeṭṭho narāsabho /
vivekakāmo sambuddho Himavantam upāgamī. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๘] พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
ทรงประสงค์วิเวก ตรัสรู้เองโดยชอบ
จึงเสด็จเข้าไปยังป่าหิมพานต์ 
Ajjhogahetvā Himavantam aggo kāruṇiko muni /
pallaṅkam ābhujitvāna nisīdi purisuttamo. // ApTha_1,1. // 
[๒๐๙] พระองค์ผู้เป็นมุนีผู้เลิศ
ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
เสด็จถึงป่าหิมพานต์แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ 
Tatth’ addasāsiṃ sambuddhaṃ sappabhāsaṃ manoramaṃ /
indīvaraṃ va jalitaṃ ādittaṃ va hutāsanaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๐] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีแสงสว่างเจิดจ้า น่ารื่นรมย์ใจ
ทรงรุ่งเรืองดังดอกบัวเขียว
เป็นดุจแท่นบูชาไฟ สว่างเจิดจ้า 
Jalantaṃ dīparukkhaṃ va vijjuṃ abbhaghane yathā /
suphullaṃ sālarājaṃ va addasaṃ lokanāyakaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๑] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงรุ่งเรืองดุจต้นพฤกษาประทีป12
ดุจสายฟ้าสว่างจ้ากลางอากาศ
ดุจต้นพญาไม้สาละ มีดอกบานสะพรั่งอยู่ 
Ayaṃ nāgo mahāvīro dukkhass’ antakaro muni /
idaṃ dassanam āgamma sabbe dukkhā pamuccare. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๒] พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ทรงเป็นผู้ประเสริฐ
มีความเพียรมาก เป็นพระมุนีผู้กระทำที่สุดทุกข์ได้แล้ว
เวไนยสัตว์ได้อาศัยการพบเห็นนี้แล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ 
Sahassārāni cakkāni dissanti caraṇuttame /
lakkhaṇāni 'ssa disvāna niṭṭhaṃ gacchiṃ Tathāgate. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๔] ที่พื้นฝ่าพระบาทอันยอดเยี่ยมปรากฏมีจักรมีกำตั้งพัน
ข้าพเจ้าได้เห็นลักษณะทั้งหลายของพระองค์แล้ว
จึงถึงความแน่ใจในพระตถาคต 
Sammajjaniṃ gahetvāna sammajjitvān’ ahaṃ tadā /
aṭṭha pupphe samānetva buddhaseṭṭham apūjayiṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้หยิบไม้กวาดมากวาดสถานที่นั้นแล้ว
ได้นำดอกไม้มา ๘ ดอก บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด 
Pūjayitvāna taṃ buddhaṃ oghatiṇṇaṃ anāsavaṃ /
ekaṃsaṃ ajinaṃ katvā namassiṃ lokanāyakaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๖] ครั้นข้าพเจ้าบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ข้ามพ้นโอฆะได้แล้ว
ไม่มีอาสวะ พระองค์นั้นแล้ว
จึงห่มหนังสัตว์เฉวียงบ่า
นมัสการพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก 
Yena ñāṇena sambuddho viharati anāsavo /
taṃ ñāṇaṃ kittayissāmi; suṇātha mama bhāsato: // ApTha_1,1. // 
[๒๑๗] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีอาสวะ
ประทับอยู่ด้วยพระญาณอันใด
ข้าพเจ้าจักประกาศพระญาณอันนั้น
ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้ากล่าวเถิด 
Samuddharas’ imaṃ lokaṃ sayambhu amitodaya /
tava dassanam āgamma kaṅkhāsotaṃ taranti te. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๘] (ดาบสสุรุจิกล่าวชมเชยพระผู้มีพระภาคอโนมทัสสีว่า)
ข้าแต่พระสยัมภู ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้
ขอพระองค์จงทรงช่วยสัตว์โลกนี้ให้พ้นจากสังสารวัฏเถิด
สัตว์เหล่านั้นอาศัยการพบเห็นพระองค์แล้ว
จะข้ามกระแสแห่งความสงสัยได้ 
Tuvaṃ satthā ca ketu ca dhajo yūpo ca pāṇinaṃ /
parāyano patiṭṭhā ca dīpo ca dipaduttamo. // ApTha_1,1. // 
[๒๑๙] พระองค์ทรงเป็นศาสดา เป็นยอด
เป็นธงชัย เป็นเสาหลัก เป็นจุดมุ่งหมาย เป็นที่พึ่ง
เป็นดุจดวงประทีปของเหล่าสัตว์
เป็นผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
Sakkā samudde udakaṃ pametum āḷhakena vā /
na tveva tava sabbaññū ñāṇaṃ sakkā pametave. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๐] ข้าแต่พระสัพพัญญู
น้ำในมหาสมุทรสามารถที่จะประมาณได้ด้วยมาตราตวง
แต่พระญาณของพระองค์ไม่มีใครสามารถจะประมาณได้เลย 
Dhāretuṃ pathaviṃ sakkā ṭhapetvā tulamaṇḍale /
na tveva tava sabbaññū ñāṇaṃ sakkā pametave. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๑] ข้าแต่พระสัพพัญญู
แผ่นดินยังสามารถที่จะนำมาวางไว้บนตราชั่งแล้วชั่งดูได้
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะชั่งดูได้ 
(021) Ākāsaṃ minituṃ sakkā rajjuyā aṅgulena vā /
na tveva tava sabbaññū ñāṇaṃ sakkā pametave. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๒] ข้าแต่พระสัพพัญญู
อากาศยังสามารถที่จะใช้เชือกหรือนิ้วมือวัดดูได้
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะวัดดูได้ 
Mahāsamudde udakaṃ paṭhaviṃ cākhilañ jahe /
buddhañāṇaṃ upādāya upamā te na yujjare. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๓] น้ำในมหาสมุทรทั้งหมดและแผ่นดินทั้งสิ้น
บุคคลก็ยังข้ามได้ แต่พระพุทธญาณ
ไม่ควรโดยการนำมาเปรียบเทียบ 
Sadevakassa lokassa cittaṃ yesaṃ pavattati /
antojālagatā ete tava ñāṇamhi cakkhumā. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ
จิตของสัตว์เหล่าใดแล่นไปในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
สัตว์ผู้มีจิตเหล่านั้นได้อยู่ในข่ายคือญาณของพระองค์ 
Yena ñāṇena patto 'si kevalaṃ bodhim uttamaṃ /
tena ñāṇena sabbaññū maddasi paratitthiye. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๕] ข้าแต่พระสัพพัญญู
พระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณ อย่างสูงสุดทั้งสิ้นด้วยพระญาณใด
พระองค์ทรงย่ำยีอัญเดียรถีย์ทั้งหลายด้วยพระญาณนั้น 
Imā gāthā paṭhitvāna Suruci nāma tāpaso /
ajinaṃ pattharitvāna paṭhaviyaṃ nisīdi so. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๖] (พระเถระทั้งหลายผู้ทำสังคายนากล่าวว่า)
ท่านสุรุจิดาบสนั้น ครั้นกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว
จึงปูลาดหนังสัตว์นั่งลงบนแผ่นดิน 
Cullāsītisahassāni ajjhogāḷho mahaṇṇave /
accuggato tāvad eva girirājā pavuccati. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๗] (ดาบสสุรุจินั่งอยู่ ณ ที่นั้นแล้วกล่าวว่า)
ผู้คนกล่าวกันในบัดนี้ว่า
ขุนเขา หยั่งลงในห้วงมหรรณพ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
สูงขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์เช่นกัน 
Tāva accuggato Neru āyato vitthato ca so /
cuṇṇito aṇubhedena koṭisatasahassiyo // ApTha_1,1. // 
[๒๒๘] ภูเขาสิเนรุก็สูงสุดเท่านั้น ภูเขาสิเนรุนั้น
ทั้งด้านยาว ทั้งด้านกว้างถึงเพียงนั้น
ก็ยังถูกบดให้ละเอียดเป็นแสนโกฏิด้วยการนับ 
lakkhe ṭhapīyamānamhi parikkhayam agacchatha; /
na tveva tava sabbaññū ñāṇaṃ sakkā pametave. // ApTha_1,1. // 
[๒๒๙] ข้าแต่พระสัพพัญญู เมื่อตั้งคะแนนไว้
ผงแห่งภูเขาสิเนรุก็จะพึงหมดสิ้นไปก่อน
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะนับได้ 
Sukhumacchikena jālena udakaṃ yo parikkhipe /
ye keci udake pāṇā antojālagatā siyuṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๐] ผู้ใดพึงเอาข่ายตาถี่ๆ ขึงล้อมน้ำไว้
สัตว์น้ำทั้งหมดที่มีอยู่ก็จะพึงเข้าไปอยู่ภายในข่าย ฉันใด 
Tath’ eva hi mahāvīra ye keci puthutitthiyā /
ditthīgahanapakkhannā parāmasena mohitā. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
เดียรถีย์มากมายบางพวกก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมเข้าไปสู่ป่าทึบคือทิฏฐิ ถูกความยึดถือทำให้ลุ่มหลง 
Tava suddhena ñāṇena anāvaraṇadassinā /
antojālagatā ete ñāṇaṃ te nātivattare. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๒] เดียรถีย์เหล่านั้นเข้าไปภายในข่าย
เพราะพระญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ซึ่งมีปกติเห็นสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรขัดขวาง
เดียรถีย์เหล่านั้นหาล่วงเลยพระญาณของพระองค์ไปไม่ 
Bhagavā ca tamhi samaye Anomadassī mahāyaso /
vuṭṭhahitvā samādhimhā disaṃ olokayī jino. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๓] ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคชินเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ออกจากสมาธิแล้วตรวจดูทิศ 
Anomadassī-munino Nisabho nāma sāvako /
parivuto satasahassehi santacittehi tādihi. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๔] พระสาวกนามว่านิสภะ ของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เป็นมุนี มีภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
เป็นผู้มีจิตสงบ ผู้คงที่ แวดล้อมแล้ว 
Khīṇāsavehi suddhehi chaḷabhiññehi tādihi /
cittam aññāya buddhassa upesi lokanāyakaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๕] ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ผู้บริสุทธิ์ ผู้ได้อภิญญา ๖
ผู้คงที่ ทราบพระดำริของพระพุทธเจ้าแล้ว
จึงเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก 
Antalikkhe ṭhitā tattha padakkhiṇam akaṃsu te /
namassantā pañjalikā orohuṃ buddhasantike. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๖] สาวกเหล่านั้นยืนกลางอากาศ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคนั้น
ได้กระทำประทักษิณ ประนมมือ
นมัสการแล้วลงมาเฝ้า ณ สำนักพระพุทธเจ้า 
Anomadassī bhagavā lokajeṭṭho narāsabho /
bhikkhusaṅghe nisīditvā sitaṃ pātukarī jino. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๗] พระผู้มีพระภาคชินเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ 
Varuṇo nām’ upaṭṭhāko sabbaññussa mahesino /
ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā apucchi lokanāyakaṃ: // ApTha_1,1. // 
[๒๓๘] พระสาวกนามว่าวรุณะ
ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี
ห่มผ้าเฉวียงบ่า แล้วทูลถามพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกว่า 
(022) Ko nu kho bhagavā hetu sitakammassa satthuno? /
na hi buddhā ahetuhi sitaṃ pātukaronti te. // ApTha_1,1. // 
[๒๓๙] ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรหนอ
เป็นเหตุให้พระศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นจะไม่ทรงแย้มพระโอษฐ์ โดยไม่มีเหตุ 
Anomadassī bhagavā lokajeṭṭho narāsabho /
saṅghamajjhe nisīditvā imaṃ gāthaṃ abhāsatha: // ApTha_1,1. // 
[๒๔๐] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า 
Yo maṃ pupphena pūjesi ñāṇañ cāpi anutthunī /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇātha mama bhāsato: // ApTha_1,1. // 
[๒๔๑] เราจักพยากรณ์ดาบสผู้ที่ใช้ดอกไม้บูชาเรา
และชมเชยญาณของเราเนืองๆ
ขอท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
Buddhassa giram aññāya sabbe devā samāgatā /
saddhammaṃ sotukāmā te sambuddham upasaṅkamuṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๒] เทวดาทั้งปวง ทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้วมาประชุมกัน
เทวดาเหล่านั้น ประสงค์จะฟังพระสัทธรรม
จึงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
Dasasu lokadhātūsu devakāyā mahiddhikā /
saddhammaṃ sotukāmā te sambuddham upasaṅkamuṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๓] หมู่เทวดาผู้มีฤทธิ์มากทั้ง ๑๐ โลกธาตุ เหล่านั้น
ประสงค์จะฟังพระสัทธรรมจึงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
Hatthī assā rathā pattī senā ca caturaṅginī /
parivārenti taṃ niccaṃ buddhapūjāy’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๔] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า) กองทัพ ๔ เหล่า
คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า
จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า 
Saṭṭhiṃturiyasahassāni bheriyo samalaṅkatā /
upaṭṭhissanti taṃ niccaṃ buddhapūjāy’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๕] เครื่องดนตรี ๑,๐๖๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งสวยงาม
จักบำรุงบำเรอผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า 
Soḷasitthisahassāni nāriyo samalaṅkatā /
vicittavatthābharaṇā āmuttamaṇikuṇḍalā // ApTha_1,1. // 
[๒๔๖] สตรีสาวล้วน ๑๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี 
Aḷārapamhāhasulā su-soññā tanumajjhimā /
parivārenti taṃ niccaṃ buddhapūjāy’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๗] มีหน้ากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม
เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า 
Kappasatasahassāni devaloke ramissati /
sahassakkhattuṃ cakkavattī rājā raṭṭhe bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๘] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๑๐๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ 
Sahassakkhattuṃ devindo devarajjaṃ karissati /
padesarajjaṃ vipulaṃ gaṇanāto asaṅkhiyaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๔๙] จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ
จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน 
Pacchime bhave sampatte manussattaṃ gamissati /
brāhmaṇī Sāriyā nāma dhārayissati kucchinā. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๐] เมื่อภพสุดท้ายมาถึง ผู้นี้จักไปเกิดเป็นมนุษย์
นางพราหมณีชื่อสารี จักตั้งครรภ์ 
Mātuyā nāmagottena paññāyissati yaṃ naro /
Sāriputto ti nāmena tikkhapañño bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๑] ผู้นี้จักปรากฏนามว่าสารีบุตร
ตามชื่อและโคตรของมารดา จักเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม 
Asītikoṭī chaḍḍetvā pabbajissati 'kiñcano /
gavesanto santipadaṃ carissati mahim imaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๒] จักเป็นผู้ไม่มีความกังวล
ละทิ้งทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิแล้วออกบวช
เที่ยวแสวงหาทางแห่งความสงบทั่วแผ่นดินนี้ 
Aparimeyye ito kappe Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāmagottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๓] ในกัปที่นับมิได้นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tassa dhammesu dāyādo oraso dhammanimmito /
Sāriputto ti nāmena hessati aggasāvako. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๔] ดาบสนี้จักมีนามว่าสารีบุตร
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นอัครสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น 
(023) Ayaṃ Bhāgīrasī Gaṅgā Himavantā pabhāvita /
mahāsamuddaṃ appeti tappayantī mahodadhiṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๕] แม่น้ำภาคีรถีนี้ไหลมาจากภูเขาหิมพานต์
ไหลลงสู่มหาสมุทร ทำมหาสมุทรให้เต็ม ฉันใด 
Tath’ evāyaṃ Sāriputto Sāketīsu visārado /
paññāya pāramiṃ gantvā tappayissati pāṇino. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๖] สารีบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักเป็นผู้สามารถแกล้วกล้าในไตรเพท
จักสำเร็จปัญญาบารมี แล้วให้หมู่สัตว์อิ่มเอิบได้ 
Himavantam upādāya sāgarañ ca mahodadhiṃ /
etthantare yaṃ puliṇaṃ gaṇanāto asaṅkhiyaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๗] ตั้งแต่ป่าหิมพานต์จนถึงทะเลมีห้วงน้ำกว้างใหญ่
ในช่วงระหว่างนี้ มีกองทรายอยู่ขนาดเท่าใด
คำนวณนับไม่ได้ 
Tam pi sakkā asesena saṅkhātuṃ gaṇanā yathā /
na tveva Sāriputtassa paññāy’ anto bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๘] แม้กองทรายขนาดเท่านั้นสามารถจะคำนวณนับได้
โดยไม่มีเหลือด้วยการนับวิธีใด
แต่ปัญญาของสารีบุตรจะมีที่สุดโดยวิธีนับนั้นๆ ก็หามิได้ 
Lakkhe ṭhapīyamānamhi khīye Gaṅgāya vālukā /
na tveva Sāriputtassa paññāy’ anto bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๕๙] เมื่อตั้งคะแนนไว้
บรรดาทรายในแม่น้ำคงคาก็จะพึงหมดสิ้นไป
แต่ปัญญาของสารีบุตรหาหมดสิ้นไปไม่ 
Mahāsamudde ūmiyo gaṇanāto asaṅkhiyā /
tath’ eva Sāriputtassa paññāy’ anto na hessati. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๐] คลื่นในมหาสมุทรคำนวณนับไม่ได้
ปัญญาของสารีบุตร จักไม่มีที่สุดอย่างนั้นเหมือนกัน 
Ārādhayitvā sambuddhaṃ Gotamaṃ Sakyapuṅgavaṃ /
paññāya pāramiṃ gantvā hessati aggasāvako. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๑] สารีบุตรนั้นจักทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โคดมศากยะผู้ประเสริฐ ทรงโปรดปรานแล้ว
สำเร็จปัญญาบารมีเป็นอัครสาวก(ของพระองค์) 
Pavattitaṃ dhammacakkaṃ Sakyaputtena tādinā /
anuvattessati sammā vassanto dhammavuṭṭhiyo. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๒] สารีบุตรนั้น จักประพฤติตามพระธรรมจักร
ที่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยบุตร
ผู้คงที่ ทรงประกาศไว้แล้ว
บันดาลเม็ดฝนคือธรรมให้ตกลงโดยชอบ 
Sabbam etam abhiññāya Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā aggaṭṭhāne ṭhapessati. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๓] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงทราบความนั้นทั้งหมดแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
จักทรงตั้ง(สารีบุตร)ไว้ในตำแหน่งอัครสาวก 
Aho me sukataṃ kammaṃ Anomadassissa satthuno /
yassāhaṃ kāraṃ katvāna sabbattha pāramiṅgato. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๔] โอ ! กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญญาธิการ
แด่พระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสีแล้ว
สำเร็จบารมีในจำนวนคุณทั้งสิ้น
ชื่อว่าเป็นกรรมที่ทำไว้ดีแล้วหนอ 
Aparimeyye kataṃ kammaṃ phalaṃ dassesi me idha /
sumutto saravego 'va kilese jhāpayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๕] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ในกาลที่จะกำหนดจำนวนมิได้
แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้ว ดุจความเร็วแห่งลูกศรพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว 
Asaṅkhataṃ gavesanto nibbānaṃ acalaṃ padaṃ /
vicinaṃ titthiye sabbe esāhaṃ saṃsariṃ bhave. // ApTha_1,1. // 
[๒๖๖] ข้าพเจ้านั้น เมื่อเที่ยวแสวงหาทาง
ที่ไม่หวั่นไหวคือนิพพาน อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
เลือกเฟ้นเจ้าลัทธิทั้งปวงจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ 
Yathāpi vyādhito poso pariyeseyya osadhaṃ /
vicineyyā vanaṃ sabbaṃ vyādhino parimuttiyā // ApTha_1,1. // 
[๒๖๗] คนเป็นไข้พึงแสวงหายารักษา
พึงสะสมทรัพย์ทั้งปวงไว้เพื่อพ้นจากความเจ็บไข้ ฉันใด 
asaṅkhataṃ gavesanto nibbānaṃ amataṃ padaṃ /
avyākiṇṇaṃ pañcasataṃ pabbajiṃ isipabbajjaṃ // ApTha_1,1. // 
[๒๖๘] ข้าพเจ้าก็ฉันนั้น เมื่อเที่ยวแสวงหาทาง
คืออมตนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
จึงได้บวชเป็นฤๅษี ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกัน 
Jaṭābhārena bharito ajinuttaranivās’ ahaṃ /
abhiññāpāramiṃ gantvā brahmalokaṃ agacch’ ahaṃ // ApTha_1,1. // 
[๒๖๙] ข้าพเจ้าเพียบพร้อมด้วยชฎาและภาระ(บริขาร)
นุ่งห่มหนังสัตว์ สำเร็จอภิญญา ได้ไป(เกิด)ยังพรหมโลก 
(024) N’ atthi bāhirake buddhī ṭhapetvā jinasāsanaṃ /
ye keci buddhimā sattā bujjhanti jinasāsanaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๐] เว้นศาสนาของพระชินเจ้าเสียแล้ว
ก็หาความบริสุทธิ์ในลัทธิภายนอกไม่ได้
เหล่าสัตว์ผู้มีปัญญาย่อมบริสุทธิ์ได้ในศาสนาของพระชินเจ้า 
Atthakāmaṃ mamam etaṃ nayidaṃ iti 'haṃ tadā /
asaṅkhataṃ gavesanto kutitthaṃ sañcarim ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๑] สิ่งที่สำเร็จด้วยการทำของตนนั้น
ไม่เป็นดังที่ได้ยินกันต่อๆ มาว่า เป็นอย่างนี้ๆ
ข้าพเจ้าเมื่อแสวงหาทางที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
จึงเที่ยวไปในลัทธิที่ผิด 
Yathā sāratthiko poso kadaliṃ chetvā phālaye /
na tattha sāraṃ vindeyyā sārena rittako hi so. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๒] คนที่ต้องการแก่นไม้ตัดต้นกล้วยแล้วผ่า
ก็จะไม่พึงได้แก่นไม้ในต้นกล้วยนั้น
เขาย่อมเป็นผู้ไร้แก่นไม้ ฉันใด 
Tath’ eva titthiyā loke nānādiṭṭhī bahujjanā /
asaṅkhatena rittā va sārena kadalī yathā. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๓] เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายในโลกก็ฉันนั้น
มีทิฏฐิต่างกัน ถึงจะมีจำนวนมาก
ก็เป็นผู้ว่างเปล่าจากนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
ดุจต้นกล้วยว่างเปล่าจากแก่นไม้ ฉะนั้น 
Pacchime bhave sampatte brahmabandhu ahos’ ahaṃ /
koṭiyo sataṃ chaḍḍayitvā pabbajim anāgāriyaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๔] เมื่อภพสุดท้ายมาถึง ข้าพเจ้าเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์
ได้ละทิ้งโภคสมบัติมากมายแล้วออกบวชเป็นบรรพชิต 
Paṭhamaka-bhāṇavāraṃ. 
ภาณวารที่ ๑ จบ 
Ajjhāyako mantadharo tiṇṇaṃ vedāna pāragū /
brāhmaṇo Sañjayo nāma tassa mūle vasām’ ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๕] (พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า) ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของพราหมณ์นามว่าสัญชัย
ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์ จบไตรเพท 
Sāvako te mahāvīra Assaji nāma brāhmaṇo /
durāsado uggatejo piṇḍāya carati sadā. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พราหมณ์นามว่าอัสสชิ
สาวกของพระองค์ ซึ่งหาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
มีเดชแผ่ไป เที่ยวบิณฑบาตในครั้งนั้น 
Tam addasāsiṃ sappaññaṃ muniṃ mone samāhitaṃ /
santacittaṃ mahānāgaṃ suphullaṃ padumaṃ yathā. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๗] ข้าพระองค์ได้เห็นท่านผู้ประเสริฐนั้น ผู้มีปัญญา
เป็นมุนี มีจิตตั้งมั่นในความเป็นมุนี
มีจิตสงบ เบิกบานดุจดอกปทุมที่แย้มบาน 
Disvā me cittaṃ uppajji sudantaṃ suddhamānasaṃ /
usabhaṃ pavaraṃ vīraṃ arahāyaṃ bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๘] เพราะเห็นท่านผู้ฝึกฝนดีแล้ว
มีจิตบริสุทธิ์ องอาจ ประเสริฐ มีความเพียร
ความคิดของข้าพเจ้าจึงเกิดขึ้นว่า
ท่านผู้นี้คงจะเป็นพระอรหันต์ 
Pāsādiko iriyati abhirūpo susaṃvuto /
uttame damathe danto amatadassī bhavissati. // ApTha_1,1. // 
[๒๗๙] ท่านผู้นี้ เคลื่อนไหวกิริยาท่าทางน่าเลื่อมใส
รูปงาม สำรวมดี ฝึกฝนแล้วในอุบายเครื่องฝึกอย่างสูงสุด
คงจะเป็นผู้เห็นทางอมตะ 
Yannūnāhaṃ uttamatthaṃ puccheyyaṃ tuṭṭhamānasaṃ /
so me puṭṭho kathessati paṭipucchām’ ahaṃ tadā. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๐] ทางที่ดี เราควรจะถามท่านผู้มีประโยชน์อย่างสูงสุด
ผู้มีจิตยินดี หากท่านถูกเราถามแล้วจักตอบ
เราก็จะย้อนถามท่านอีก ในครั้งนั้น 
Piṇḍacāraṃ carantassa pacchato agamās’ ahaṃ /
okāsaṃ paṭimānento pucchituṃ amataṃ padaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๑] ข้าพระองค์ได้เดินตามไปข้างหลังท่านผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาต
รอคอยโอกาสอยู่เพื่อจะสอบถามทางอมตะ 
Vīthantare anuppattaṃ upagantvā apucchi 'haṃ: /
Kathaṃ gotto 'si tvaṃ dhīra12; kassa sisso 'si marisa? // ApTha_1,1. // 
[๒๘๒] จึงเข้าไปหาท่านซึ่งอยู่ในระหว่างถนนแล้วถามว่า
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ผู้มีความเพียร
ท่านมีโคตรตระกูลอย่างไร เป็นศิษย์ของใคร 
So me puṭṭho vyākāsi asambhīto va kesarī: /
Buddho loke samuppanno tassa sisso 'mhi sāvako. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๓] ท่านถูกข้าพระองค์ถามแล้วก็ไม่ครั่นคร้าม
เป็นดังพญาไกรสรราชสีห์ตอบว่า
ท่านผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
อาตมาเป็นศิษย์ของพระองค์ 
(025) Kīdisaṃ te mahāvīra anujāta-mahāyaso /
buddhassa sāsanaṃ dhammaṃ sādhu me kathayass’ ubho. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๔] (ข้าพระองค์ได้ถามต่อไปว่า)
ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ท่านผู้มียศยิ่งใหญ่เกิดตามมา
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าของท่านเป็นเช่นไร
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอโอกาส
ขอท่านโปรดบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด 
So me puṭṭho kathī sabbaṃ gambhīraṃ nipuṇaṃ padaṃ /
taṇhasallassa hantāraṃ sabbadukkhapanūdanaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๕] ท่านถูกข้าพระองค์ถามแล้ว
จึงแสดงบททุกบทที่ลึกซึ้งละเอียด
สำหรับกำจัดลูกศรคือตัณหา
สำหรับเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงว่า 
Ye dhammā hetuppabhavā tesaṃ hetuṃ Tathāgato āha /
tesañ ca yo nirodho evaṃ vādi mahāsamaṇo. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๖] ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติตรัสสอนอย่างนี้ 
So 'haṃ vissajjite pañhe paṭhamaṃ phalaṃ ajjhagaṃ /
virajo vimalo āsiṃ sutvāna jinasāsanaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๘๗] เมื่อพระอัสสชิเถระแก้ปัญหาแล้ว
ข้าพระองค์นั้นได้บรรลุผลที่หนึ่ง(โสดาปัตติผล)
เป็นผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส
ปราศจากมลทินคือกิเลส เพราะได้ฟังคำสอนของพระชินเจ้า 
Sutvāna munino vākyaṃ passitvā dhammaṃ uttamaṃ /
pariyogāḷhasaddhammo imaṃ gāthaṃ abhās’ ahaṃ: // ApTha_1,1. // 
[๒๘๘] ข้าพระองค์ได้ฟังคำของพระมุนีแล้ว
ได้เห็นธรรมอันสูงสุด หยั่งรู้พระสัทธรรมจึงได้กล่าวคาถานี้ว่า 
‘Es’ eva dhammo yadi tāvad eva paccavyathā padam asokaṃ /
adiṭṭham abbhatītaṃ bahukehi kappanahutehi.’ // ApTha_1,1. // 
[๒๘๙] ถ้ามีเพียงเท่านั้น ธรรมนี้นั่นแหละ(ที่ข้าพเจ้าพึงบรรลุ)
ท่านรู้แจ้งทางที่ไม่เศร้าโศก
ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นแล้ว ล่วงเลยมาหลายหมื่นกัป 
Sāhaṃ dhammaṃ gavesanto kutitthe sañcarim ahaṃ /
so me attho anuppatto kālo me na ppamajjituṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๐] ข้าพเจ้าเมื่อแสวงหาธรรม ได้เที่ยวไปในลัทธิที่ผิด
(บัดนี้)ได้บรรลุความประสงค์นั้นแล้ว
จึงมิใช่เวลาที่ข้าพเจ้าจะประมาท 
Tosito 'haṃ Assajinā patvāna acalaṃ padaṃ /
sahāyakaṃ gavesanto assamam agamās’ ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๑] ข้าพระองค์ที่พระอัสสชิเถระให้ยินดีแล้ว
บรรลุทางที่ไม่หวั่นไหว เมื่อจะไปเสาะหาสหาย
จึงได้ไปยังอาศรม 
Dūrato 'va mamaṃ disvā sahāyo me susikkhito /
iriyāpathasampanno idaṃ vacanam abravī: // ApTha_1,1. // 
[๒๙๒] สหายของข้าพระองค์ ผู้ได้ศึกษามาดี
เพียบพร้อมด้วยอิริยาบถ เห็นข้าพระองค์แต่ไกลเทียว
จึงได้กล่าวคำนี้ว่า 
Pasannamukhanetto 'si muni munibhāvo 'va dissati /
amatādhigato kacci nibbānaṃ accutaṃ padaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๓] ท่านมีหน้าตาผ่องใส ปรากฏประหนึ่งว่าจะเป็นมุนี
ท่านได้บรรลุอมตนิพพานหรือได้บรรลุบทคือพระนิพพานอันไม่จุติ 
Subhānurūpo āyāsi anejjaṅkārito viya /
danto ca uttamadamathe upasanto 'si brāhmaṇa. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๔] ท่านเป็นผู้สมควรแก่ความงาม เป็นเหมือนผู้ฝึกฝนตนมาแล้ว
เหมือนช้างถูกแทงด้วยหอก ไม่หวั่นไหว
พราหมณ์ ท่านเป็นผู้มีการฝึกฝนมาดี
จึงสงบระงับแล้ว ในทางเป็นที่ฝึก 
Amataṃ mayā 'dhigataṃ sokasallavinodanaṃ /
tuvam pi adhigacche hi gacchāma buddhasantikaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๕] ข้าพระองค์ตอบว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุอมตธรรม
ซึ่งเป็นเครื่องบรรเทาลูกศรคือความเศร้าโศกแล้ว
ถึงตัวท่านก็จะบรรลุอมตธรรมนั้นได้
พวกเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากันเถิด 
Sādhū ti so paṭissutvā sahāyo me susikkhito /
hatthena hatthaṃ gaṇhitvā upāgamī satthusantikaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๖] สหายนั้นอันข้าพระองค์ให้ศึกษาอย่างดีแล้ว
จึงรับคำว่า ดีละ แล้วได้จูงมือกันมายังสำนักของพระองค์ 
Ubho pi pabbajissāma Sakyaputta tav’ antike /
tava sāsanam āgamma viharāma anāsavā. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๗] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร ข้าพระองค์ทั้ง ๒
จักบวชในสำนักของพระองค์
อาศัยคำสอนของพระองค์อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Kolito iddhiyā seṭṭho; ahaṃ paññāya pārago /
ubho ca ekato hutvā sāsanaṃ sobhayāmase13 // ApTha_1,1. // 
[๒๙๘] ท่านโกลิตะเป็นผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ข้าพระองค์เลิศด้วยปัญญา
ข้าพระองค์ทั้ง ๒ จะร่วมมือกันทำศาสนาให้งดงาม 
(026) Apariyositasaṅkappo kutitthe sañcarim ahaṃ /
tava dassanam āgamma saṅkappo pūrito mama. // ApTha_1,1. // 
[๒๙๙] (เมื่อก่อน) ข้าพระองค์มีความดำริยังไม่ถึงที่สุด
จึงได้เที่ยวไปในลัทธิที่ผิด
(แต่บัดนี้)เพราะได้อาศัยทัศนะของพระองค์
ความดำริของข้าพระองค์จึงเต็ม 
Paṭhaviyaṃ patiṭṭhāya pupphanti samaye dumā /
dibbā gandhā sampavanti tosenti sabbapāṇinaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๐] หมู่ไม้เกิดบนแผ่นดินย่อมแย้มบานในฤดูกาล
กลิ่นทิพย์หอมอบอวลไปทำให้สรรพสัตว์ยินดี (ฉันใด) 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra Sakyaputta mahāyasa /
sāsane te patiṭṭhāya samay’ esāmi pupphituṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ผู้เป็นศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว
ย่อมแสวงหากาลเวลาเพื่อจะแย้มบาน 
Vimuttipuppham esanto bhavasaṃsāramocanaṃ /
vimutti-pupphalābhena tosemi sabbapāṇinaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๒] ข้าพระองค์แสวงหาดอกไม้คือวิมุตติ
ซึ่งเป็นเหตุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ
ให้สรรพสัตว์ยินดีด้วยการได้ดอกไม้คือวิมุตติ 
Yāvatā buddhakhettamhi ṭhapetvāna mahāmuniṃ /
paññāya sadiso n’ atthi tava puttassa cakkhumā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ ตลอดพุทธเขต
ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นมหามุนีเสีย
ก็ไม่มีใครจะมีปัญญาเหมือนกับข้าพระองค์ผู้เป็นบุตรของพระองค์เลย 
Suvinītā ca te sissā parisā ca susikkhitā /
uttame damathe dantā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๔] ศิษย์และชุมนุมชนของพระองค์ที่พระองค์ทรงแนะนำดีแล้ว
ให้ศึกษาดีแล้ว ฝึกฝนในอุบายเครื่องฝึกอันสูงสุด
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Jhāyī jhāna*ratā dhīrā santacittā* samāhitā /
munī moneyya-sampannā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๕] ท่านเหล่านั้นมีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน
เป็นนักปราชญ์ มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น เป็นมุนี
สมบูรณ์ด้วยความเป็นมุนี แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Appicchā nipakā dhīrā appāhārā alolupā /
lābhālabhena santuṭṭhā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๖] ท่านเหล่านั้นมักน้อย มีปัญญารักษาตน
เป็นนักปราชญ์ ฉันอาหารแต่น้อย ไม่โลภ
สันโดษตามมีตามได้ แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Āraññakā dhutaratā jhāyino lūkhacīvarā /
vi*vekābhiratā dhīrā*parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๗] ท่านเหล่านั้นถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ยินดีในธุดงค์
เข้าฌาน ใช้จีวรเศร้าหมอง ยินดียิ่งในความสงัด
เป็นนักปราชญ์ แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Paṭipannā phalaṭṭhā ca sekhā phalasamaṅgino /
āsiṃsakā uttamatthaṃ parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๘] ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติ(พรั่งพร้อมด้วยมรรค)
ดำรงอยู่ในผล และเป็นพระเสขะพรั่งพร้อมด้วยผล
มุ่งหวังประโยชน์อย่างสูงสุด(คือพระนิพพาน)
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Sotāpannā ca vimalā sakadāgāmino ca ye /
anāgāmī ca arahā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๐๙] ท่านเหล่านั้นทั้งที่เป็นพระโสดาบัน ทั้งที่เป็นพระสกทาคามี
ทั้งที่เป็นพระอนาคามี และที่เป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ปราศจากมลทิน(คือกิเลส) แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
*Satipaṭṭhā*nakusalā bojjhaṅgābhāvanāratā /
sāvakā te bahū sabbe parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๐] สาวกของพระองค์จำนวนมาก
ฉลาดในสติปัฏฐาน ยินดีในการเจริญโพชฌงค์
ทุกท่านแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Iddhipādesu kusalā samādhibhāvanāratā /
sammappadhānam anuyuktā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๑] ท่านเหล่านั้นฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในการเจริญสมาธิ
หมั่นประกอบสัมมัปปธาน แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Tevijjā *chaḷabhiññā ca iddhiyā pārami*ṅgatā /
paññāya pāramīpattā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๒] ท่านเหล่านั้นได้วิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
ถึงความสำเร็จแห่งปัญญา
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Edisā te mahāvīra tava sissā susikkhitā /
durāsadā uggatejā parivārenti taṃ sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก ศิษย์ของพระองค์เป็นเช่นนี้
เป็นผู้ศึกษาดีแล้ว หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
มีเดชแผ่ไป แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Tehi sissehi parivuto saññatehi tapassihi /
migarājā v’ asambhīto *uḷurājā va sobhasi.* // ApTha_1,1. // 
[๓๑๔] พระองค์มีศิษย์เหล่านั้นแวดล้อม
ผู้สำรวมแล้ว ผู้มีตบะ เป็นผู้ไม่ครั่นคร้ามดังราชสีห์
ย่อมทรงงดงามดังดวงจันทร์ 
Paṭhaviyaṃ patiṭṭhāya ruhanti dharaṇīruhā /
vepullataṃ papuṇanti phalan ca dassayanti te. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๕] ต้นไม้เกิดบนแผ่นดินย่อมงอกงามไพบูลย์บนแผ่นดิน
ต้นไม้เหล่านั้นย่อมเผล็ดผล (โดยลำดับ) 
(027) Paṭhavī sadiso tvaṃ 'si Sakyaputta mahāyasa /
sāsane te patiṭṭhāya labhanti amataṃ phalaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๖] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเป็นเช่นกับแผ่นดิน ศิษย์ (เป็นเช่นกับต้นไม้)
ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว ย่อมได้ผลเป็นอมตะ 
Sindhū Sarasvatī c’ eva nadiyā Candabhāgiyo /
Gaṅgā ca Yamunā c’ eva Sarabhū ca atho Mahī. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๗] แม่น้ำสินธุ แม่น้ำสรัสวดี แม่น้ำจันทภาคา
แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และแม่น้ำมหี 
Etāsaṃ sandamānānaṃ sāgaro sampaṭicchati /
jahanti purimaṃ nāmaṃ sāgaro te 'va ñāyati. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๘] เมื่อแม่น้ำหลายสายนั้นไหลไป(ถึงทะเล)ทะเลย่อมรองรับไว้
แม่น้ำเหล่านั้นย่อมละชื่อเดิม ปรากฏชื่อว่าทะเล ฉันใด 
Tath’ ev’ ime catuvaṇṇā pabbajitvā tav’ antike /
jahanti purimaṃ nāmam buddhaputtā ti ñāyare. // ApTha_1,1. // 
[๓๑๙] วรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ก็ฉันนั้น
มาบวชในสำนักของพระองค์แล้ว
ก็ย่อมละชื่อเดิม ปรากฏชื่อว่าพุทธบุตร 
Yathāpi cando vimalo gacchaṃ ākāsadhātuyā /
sabbe tārāgaṇe loke ābhāya atirocati. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๐] ดวงจันทร์ปราศจากมลทินโคจรอยู่ในอากาศ
มีแสงรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าหมู่ดาวในโลกทั้งหมด ฉันใด 
Tath’ eva tvaṃ mahāvīra parivuto devamānuse /
buddhakhettaṃ atikkamma jalasi sabbadā tuvaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีศิษย์แวดล้อม
ก็ย่อมรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดในกาลทุกเมื่อ 
Gambhīre uṭṭhitā ūmi na velam ativattati /
sabbavelam paphusanti sañcuṇṇā vikiranti tā. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๒] คลื่นเกิดขึ้นในน้ำลึกย่อมไม่ล่วงเลยล้นฝั่งไปได้
คลื่นเหล่านั้นกระทบฝั่งเป็นระลอก
กระจายหายไปหมด ฉันใด 
Tath’ eva titthiyā loke nānādiṭṭhī bahujjanā /
dhammaṃ dhāritukāmā te n’ ātivattanti taṃ muniṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๓] เดียรถีย์ทั้งหลายในโลกก็ฉันนั้น
มีทิฏฐิต่างกัน เป็นชนจำนวนมาก
พวกเขาต้องการจะกล่าวธรรม
แต่ก็ไม่ล่วงเลยพระองค์ผู้เป็นมุนีไปได้ 
Sac’ eva taṃ pāpuṇanti paṭivādehi cakkhuma /
tav antikaṃ upāgantvā sañcuṇṇā 'va bhavanti te. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ ก็ถ้าเดียรถีย์เหล่านั้น
เข้ามาหาพระองค์ด้วยความประสงค์จะคัดค้าน
ครั้นมาถึงสำนักของพระองค์แล้ว ก็จะกลายเป็นจุรณไป 
Yathāpi udake jātā kumudā mandālakā bahū /
upalimpanti toyena kaddamakalalena ca. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๕] ดอกโกมุท ดอกบัวเผื่อน จำนวนมาก
เกิดในน้ำแล้วติดอยู่กับน้ำและเปือกตม ฉันใด 
Tath’ eva bahukā sattā loke jātā virūhare /
aṭṭitā rāgadosena kaddame kumudaṃ yathā. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๖] เหล่าสัตว์จำนวนมากก็ฉันนั้น เกิดมาในโลกแล้ว
ถูกราคะและโทสะเบียดเบียน ย่อมงอกงาม(ในวัฏฏสงสาร)
ดุจดอกโกมุทงอกงามในเปือกตม ฉะนั้น 
Yathā padumaṃ jalajaṃ jalamajjhe virūhati /
na so limpati toyena parisuddho hi kesarī. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๗] ดอกบัวหลวงเกิดในน้ำ งดงามอยู่กลางน้ำ
(แต่)ดอกบัวหลวงนั้นยังคงบริสุทธิ์ ไม่ติดอยู่กับน้ำ ฉันใด 
Tath eva tvaṃ mahāvīra loke jāto mahāmuni /
no palimpasi lokena toyena padumaṃ yathā. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ทรงเป็นฉันนั้น
เป็นมหามุนี เกิดมาแล้วในโลก (แต่)ไม่ทรงติดอยู่กับโลก
ดุจดอกบัวหลวงไม่ติดอยู่กับน้ำ ฉะนั้น 
Yathāpi rammake māse bahū pupphanti vārijā /
nātikkamanti taṃ māsaṃ samayo pupphanāya so. // ApTha_1,1. // 
[๓๒๙] ดอกไม้หลายชนิดที่เกิดในน้ำ
ย่อมแย้มบานในเดือน ๑๒ ไม่ล่วงเลยเดือน ๑๒ นั้นไป
เพราะเดือน ๑๒ นั้นเป็นกาลสมัยที่ดอกไม้จะบาน ฉันใด 
(028) Tath’ eva tvaṃ Sakyaputta pupphitā te vimuttiyā /
sāsanaṃ nātivattanti padumaṃ vārijaṃ yathā. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๐] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร พระองค์ก็เป็นผู้แย้มบานแล้ว ฉันนั้น
เหล่าศิษย์ของพระองค์ก็เป็นผู้แย้มบานแล้วด้วยวิมุตติ
ไม่ล่วงเลยคำสั่งสอนของพระองค์ไปได้
ดุจดอกบัวหลวงซึ่งแย้มบานด้วยน้ำ
ไม่ล่วงเลยกาลสมัยเป็นที่แย้มบานไปได้ ฉะนั้น 
Supupphito sālarājā dibbagandhaṃ pavāyati /
aññasālehi parivuto sālarājā va sobhati. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๑] ต้นพญาไม้สาละออกดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปคล้ายกลิ่นทิพย์
แวดล้อมด้วยไม้สาละชนิดอื่น ย่อมงดงาม ฉันใด 
Tath’ eva tvaṃ mahāvīra buddhañāṇena pupphito /
bhikkhusaṅghena parivuto sālarājā va sobhasi. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทรงแย้มบานด้วยพระพุทธญาณ มีหมู่ภิกษุแวดล้อม
ย่อมงดงาม ดุจพญาไม้สาละ ฉะนั้น 
Yathāpi selo Himavā osadho sabbapāṇinaṃ /
nāgānam asurānañ ca devatānañ ca ālayo. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๓] เปรียบเหมือนภูเขาศิลาล้วนชื่อหิมวา
เป็นภูเขาที่มีโอสถสำหรับสรรพสัตว์
เป็นที่อยู่ของพวกนาค อสูร และเทวดาทั้งหลาย 
Tath’ eva tvaṃ mahāvīra osadho viya pāṇinaṃ /
tevijjā chaḷabhiññā ca iddhiyā pāramiṅgatā. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ทรงเป็นฉันนั้น
ทรงเป็นดุจโอสถของสรรพสัตว์ ทรงได้วิชชา ๓
ได้อภิญญา ๖ ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ 
Anusiṭṭhā mahāvīra tayā kāruṇikena te /
ramanti dhammaratiyā vasanti tava sāsane. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ผู้ที่พระองค์ทรงพระกรุณาพร่ำสอนแล้วนั้น
ย่อมยินดีในธรรม อยู่ในศาสนาของพระองค์ 
Migarājā yathā sīho abhinikkhamma āsayā /
catuddisā viloketvā tikkhattuṃ abhinādayi. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๖] ราชสีห์ผู้เป็นพญาเนื้อพอออกจากถ้ำที่อาศัยแล้ว
เหลียวดูทิศทั้ง ๔ จึงบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง 
Sabbe *mi*gā uttasanti migarājassa gajjato /
tathā hi jātimā eso pasu tāseti sabbadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๗] เมื่อราชสีห์ผู้พญาเนื้อคำราม
สัตว์ทั้งปวงย่อมสะดุ้งกลัว อันที่จริง ชาติราชสีห์นี้
ย่อมทำให้เหล่าสัตว์สะดุ้งกลัวทุกเมื่อ ฉันใด 
Gajjato te mahāvīra vasudhā sampakampati /
bodhaneyyā 'va bojjhanti tasanti mārakāyikā. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่
พื้นพสุธานี้ย่อมหวั่นไหว เหล่าสัตว์ผู้ควรตรัสรู้ก็ย่อมตรัสรู้
เหล่าสัตว์ผู้อยู่ในหมู่มารย่อมสะดุ้ง ฉันนั้น 
Tasanti titthiyā sabbe nadato te mahāmuni /
kākasenā 'va vibbhantā migaraññā yathā migā. // ApTha_1,1. // 
[๓๓๙] ข้าแต่พระมหามุนี เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่
เหล่าเดียรถีย์ทั้งปวงย่อมสะดุ้ง ดุจฝูงกา ฝูงเหยี่ยวบินกระเจิงไป
ดุจฝูงสัตว์แตกกระเจิงไปเพราะราชสีห์ผู้เป็นพญาเนื้อ ฉะนั้น 
Ye keci gaṇino loke satthāro ti pavuccare /
paramparāgataṃ dhammaṃ desenti parisāya te. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๐] เหล่าคณาจารย์บางพวกประชาชนเรียกกันว่า เป็นศาสดาในโลก
ท่านเหล่านั้นย่อมแสดงธรรมที่สืบๆ กันมาแก่ชุมนุมชน 
Na h’ eva tvaṃ mahāvīra dhammaṃ desesi pāṇinaṃ /
samaṃ saccāni bujjhitvā kevalaṃ bodhipakkhikaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แต่พระองค์หาเป็นอย่างนั้นไม่
ครั้นทรงตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยพระองค์เองแล้ว
จึงทรงแสดงโพธิปักขิยธรรมทั้งมวลแก่เหล่าสัตว์ 
Āsayānusayaṃ ñatvā indriyānaṃ phalāphalaṃ /
bhabbābhabbe viditvāna mahāmegho va gajjasi. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๒] พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยและอนุสัย
ทรงทราบว่าอินทรีย์มีกำลังแก่กล้าและไม่แก่กล้า
ทรงทราบบุคคลสมควรและไม่สมควร
จึงทรงบันลือดุจมหาเมฆ 
Cakkavālapariyantā nisinnā parisā bhave /
nānādiṭṭhī vicintenti vimaticchedanāya taṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๓] เพื่อจะทรงตัดความสงสัยของชุมนุมชนที่จะพึงนั่งรอบจักรวาล
ผู้มีทิฏฐิต่างกัน มีความคิดคิดต่างกัน 
(029) Sabbesaṃ cittam aññāya opammakusalo muni /
ekaṃ pañhaṃ kathento 'va vimatin chindi pāṇinaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๔] พระองค์ผู้เป็นมุนีทรงรู้จิตของเหล่าสัตว์ทั้งปวง
ทรงฉลาดในข้ออุปมา ตรัสแก้ปัญหาข้อเดียวเท่านั้น
ก็ทรงตัดความสงสัยของเหล่าสัตว์เสียได้ 
Upadisasadiseh' eva vāsudhā pūritā bhave /
sabbe 'va te pañjalikā kittayuṃ lokanāyakaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๕] พื้นแผ่นดินพึงเต็มด้วยมนุษย์ผู้เช่นกับจอกแหน
พวกเขาทั้งหมดพึงประคองอัญชลี
ประกาศคุณของพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก 
Kappaṃ 'vā te kittayantā nānāvaṇṇehi kittayuṃ /
parimetuṃ na pappeyyum appameyyo Tathāgato. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๖] อีกอย่างหนึ่งเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
เมื่อประกาศคุณอยู่ตลอดกัปหนึ่ง
พึงประกาศคุณโดยประการต่างๆ
ก็ยังไม่สามารถจะประกาศคุณให้สิ้นสุดได้
พระตถาคตมีพระคุณหาประมาณมิได้ 
Yathā sakena thāmena kittito hi mahājino /
kappakoṭī pakittentā evamevam akittayuṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๗] ก็ข้าพระองค์สรรเสริญพระชินเจ้าด้วยกำลังของตนอย่างไร
เหล่าเทวดาและมนุษย์เมื่อสรรเสริญอยู่ตลอดโกฏิกัป
ก็พึงสรรเสริญอย่างนั้นเหมือนกัน 
Sace hi koci devo vā manusso vā susikkhito /
pūritaṃ parikaḍḍheyya vighātaṃ 'va labheyya so. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๘] ก็ถ้าใครๆ จะเป็นเทวดา หรือมนุษย์ก็ตาม
ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว จะพึงกำหนดเพื่อจะประมาณ(คุณ)
ผู้นั้นจะพึงได้รับความลำบากเปล่า 
Sāsane te patiṭṭhāya Sakyaputta mahāyasa /
paññāya pāramiṃ gantvā viharāmi anāsavo. // ApTha_1,1. // 
[๓๔๙] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว
สำเร็จปัญญาบารมีอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Titthiye sampamaddāmi vattemi jinasāsanaṃ /
dhammasenāpati ajja Sakyaputtassa sāsane. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๐] ข้าพระองค์จะย่ำยีเหล่าเดียรถีย์
วันนี้ ข้าพระองค์เป็นจอมทัพธรรมในศาสนาของพระศากยบุตร
ประกาศศาสนาของพระชินเจ้า 
Aparimeyye kataṃ kammaṃ phalaṃ dassesi me idha /
sukhito saravego va kilese jhāpayī mamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๑] กรรมที่ข้าพระองค์ได้ทำไว้ในกาลที่จะกำหนดจำนวนมิได้
แสดงผลแก่ข้าพระองค์แล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพระองค์หลุดพ้นดีแล้ว ดุจกำลังลูกศรหลุดพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสของข้าพระองค์ได้แล้ว 
Yo koci manujo bhāraṃ dhāreyya matthake sadā /
bhārena dukkhito assa bhāro hi bharito tathā. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๒] มนุษย์คนใดคนหนึ่งพึงทูนของหนักไว้บนศีรษะตลอดเวลา
เขาต้องลำบากเพราะของหนัก
เป็นผู้เต็มไปด้วยของหนักทั้งหลาย 
Dayhamāno tīh'aggīhi bhavesu saṃsariṃ ahaṃ /
bharito bhavabhārena girim uccārito yathā. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๓] ข้าพระองค์ถูกไฟ ๓ กอง เผาไหม้อยู่
เป็นผู้เต็มไปด้วยของหนักคือภพ โดยประการนั้น
ท่องเที่ยวไปแล้วในภพทั้งหลาย
ภูเขาสิเนรุอันบุคคลถอนขึ้นแล้วฉันใด 
Oropito ca me bhāro; bhavā ugghāṭitā mayā /
karaṇīyaṃ kataṃ sabbaṃ Sakyaputtassa sāsane. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๔] ก็ภาระอันหนักข้าพระองค์ยกลงแล้ว
ภพทั้งหลายข้าพระองค์ก็เพิกได้แล้ว ฉันนั้น
กิจที่ควรทำทั้งหมด ในศาสนาของพระองค์ผู้ศากยบุตร
ข้าพระองค์ก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว 
Yāvatā buddhakhettamhi ṭhapetvā Sakyapuṅgavaṃ /
aham aggo 'mhi paññāya sadiso me na vijjati. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๕] ตลอดพุทธเขตยกเว้นพระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ผู้ประเสริฐ
ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ไม่มีผู้เช่นกับข้าพระองค์ 
Samādhimhi sukusalo iddhiyā pāramiṅgato /
icchamāno 'va 'haṃ ajja sahāyam abhinimmine. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๖] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
วันนี้ เมื่อต้องการจะเนรมิตคน ๑,๐๐๐ คนก็ได้ 
(030) Anupubbavihārissa vasībhūto mahāmuni. /
kathesi sāsanaṃ mayhaṃ, nirodho sayanaṃ mamaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๗] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมหามุนี
เป็นผู้ชำนาญในอนุปุพพวิหารธรรม
ตรัสสอนแก่ข้าพระองค์ นิโรธสมาบัติเป็นที่นอนของข้าพระองค์ 
Dibbacakkhuṃ visuddham me samādhikusalo ahaṃ /
sammappadhānam anuyutto bojjhaṅgabhāvanārato. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๘] ข้าพระองค์มีทิพยจักษุบริสุทธิ์หมดจด
ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ หมั่นประกอบในสัมมัปปธาน
ยินดีในการเจริญโพชฌงค์ 
Sāvakena hi pattabbaṃ sabbam eva kataṃ mamaṃ /
lokanāthaṃ ṭhapetvāna sadiso me na vijjati. // ApTha_1,1. // 
[๓๕๙] ข้าพระองค์ได้ทำกิจทุกอย่างที่สาวกจะพึงบรรลุแล้ว
ยกเว้นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกเสียแล้ว
ไม่มีผู้เช่นกับข้าพระองค์ 
Samāpattivinayakusalo jhānavimokkhānaṃ khippalābhī /
bojjhaṅgabhāvanārato sāvakaguṇapāramiṅgato 'smiṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๐] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ
ได้ฌานและวิโมกข์ เร็วพลัน ยินดีในการเจริญโพชฌงค์
เป็นผู้บรรลุสาวกบารมีญาณ 
Sāvakaguṇenāpi phusena buddhiyā purisuttamagāravā /
saddhāya saṅgahītaṃ cittaṃ sadā sabrahmacārisu. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๑] ข้าพระองค์เป็นคนมีคารวะอย่างสูงสุด
เพราะได้บรรลุสาวกบารมีญาณด้วยความรู้
ข้าพระองค์มีจิตอนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี ด้วยศรัทธาทุกเมื่อ 
Uddhataviso va sappo chinnavisāno va usabho /
nikkhittamānadappo upemi garugāravena gaṇaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๒] ข้าพระองค์ละทิ้งความถือตัวและความเย่อหยิ่งแล้ว
ดุจงูถูกถอนเขี้ยวเสียแล้ว (หรือ) ดุจโคอุสภะตัวเขาหักเสียแล้ว
เข้าหาหมู่คณะด้วยความเคารพหนักแน่น 
Yadi rūpinī bhaveyya paññā me vasupatīnaṃ sameyya. /
Anomadassissa bhagavato phalam etaṃ ñāṇaṃ thavanāya. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๓] หากปัญญาของข้าพระองค์จะพึงมีรูปร่าง
ปัญญาของข้าพระองค์ก็จะต้องเสมอกับพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย
นี้เป็นผลของการชมเชยพระญาณของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าอโนมทัสสี 
Pavattitaṃ dhammacakkaṃ Sakyaputtena tādinā /
anuvattem’ ahaṃ sammā ñāṇathavanāy' idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๔] ข้าพระองค์ประพฤติตามโดยชอบซึ่งพระธรรมจักร
นี้เป็นผลของการชมเชยพระญาณ 
Mā me kadāci pāpiccho kusīto hīnavīriyo /
appassuto anācāro sameto katthaci ahu. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๕] บุคคลผู้มีความปรารถนาเลวทราม เป็นคนเกียจคร้าน
ละความเพียร มีการศึกษาน้อย ไม่มีมารยาท
อย่าได้มาสมาคมกับข้าพระองค์ในที่ไหนๆ สักคราวเลย 
Bahussuto ca medhāvī sīlesu susamāhito /
cetosamathānuyukto api muddhani tiṭṭhatu. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๖] ส่วนบุคคลผู้มีการศึกษามาก มีปัญญา
มีจิตตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย หมั่นประกอบความสงบทางใจ
ขอจงมาดำรงอยู่บนศีรษะของข้าพระองค์เถิด 
Taṃ vo vadāmi bhaddante yāvant’ ettha samāgatā /
appicchā hotha santuṭṭhā jhāyī jhānaratā sadā. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๗] (เมื่อพระสารีบุตรเถระจะชักชวนภิกษุอื่นๆในคุณสมบัตินั้น จึงกล่าวว่า)
เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่านทั้งหลาย
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
ตามจำนวนที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้
ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มักน้อย สันโดษ
ยินดีให้ทานทุกเมื่อเถิด 
(031) Yam ahaṃ paṭhamaṃ disvā virajo vimalo ahuṃ /
so me ācariyo vīro Assaji nāma sāvako. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๘] ข้าพเจ้าพบสาวกรูปใดก่อนแล้ว
ได้เป็นผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส ปราศจากมลทินคือกิเลส
สาวกรูปนั้นมีนามว่าอัสสชิ เป็นนักปราชญ์ เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า 
Tassāhaṃ vāhasā ajja dhammasenāpatī ahuṃ /
sabbattha pāramiṃ patvā viharāmi anāsavo. // ApTha_1,1. // 
[๓๖๙] ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระอัสสชิเถระนั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าได้เป็นธรรมเสนาบดีถึงความสำเร็จในคุณทั้งปวง
จึงอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Yo me ācariyo āsi Assaji nāma sāvako /
yassaṃ disāyaṃ vasati ussīsamhikaro ahaṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๗๐] พระสาวกรูปใดชื่อว่าอัสสชิ เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
อยู่ ณ ทิศใด ข้าพเจ้าจะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น 
Mama kammaṃ saritvāna Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā aggaṭṭhāne ṭhapesi maṃ. // ApTha_1,1. // 
[๓๗๑] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพเจ้าแล้ว
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่ภิกษุ
ทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งอัครสาวก 
No text in PTS 
[๓๗๒] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าเผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้อยู่อย่างอิสระ 
No text in PTS 
[๓๗๓] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍābhiññā sacchikatā kataṃ buddhassa sāsasanaṃ ti // ApTha_1,1. // 
[๓๗๔] คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Sāriputto thero imā gāthāyo abhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระสารีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Sāriputtattherassa apadānaṃ samattaṃ. 
สารีปุตตเถราปทานที่ ๑ จบ 
2. Mahā-Moggallāna. 
๒. มหาโมคคัลลานเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานเถระ (พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Anomadassī bhagavā lokajeṭṭho narāsabho /
vihāsi Himavantamhi devasaṅghapurakkhato. // ApTha_1,2. // 
[๓๗๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
มีหมู่เทวดาห้อมล้อมประทับอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ 
Varūṇo nāma nāmena nāgarājā ahaṃ tadā /
kāmarūpī vikubbāmi mahodadhi nivās’ ahaṃ. // ApTha_1,2. // 
[๓๗๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นพญานาคมีนามว่าวรุณ
เนรมิตรูปได้ตามที่ต้องการ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่ 
Saṅganiyaṃ gaṇaṃ hitvā turiyaṃ paṭṭhapes' ahaṃ /
sambuddhaṃ parivāretvā vādesuṃ accharā tadā // ApTha_1,2. // 
[๓๗๗] ข้าพเจ้าละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารประจำ ให้เริ่มบรรเลงดนตรี
ในครั้งนั้น หมู่นางนาคแวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พากันประโคมดนตรี 
Vajjamānesu turiyesu devā turiyāni vajjiṃsu /
ubhiṇṇaṃ saddaṃ sutvāna buddho pi sampabujjhatha. // ApTha_1,2. // 
[๓๗๘] เมื่อดนตรีประโคมอยู่ เหล่าเทวดาก็ประโคมดนตรี
พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับเสียงดนตรีของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้วก็ทรงทราบ 
Nimantayitvā sambuddhaṃ sakaṃ bhavanam upāgamiṃ /
āsanaṃ paññapetvāna kālam ārocayim ahaṃ. // ApTha_1,2. // 
[๓๗๙] ข้าพเจ้านิมนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าไปยังภพของตน
ปูลาดอาสนะ แล้วจึงกราบทูลเวลา 
Khīṇāsavasahassehi purato lokanāyako /
obhāsento disā sabbā bhavanam me upāgami. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๐] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
มีพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป แวดล้อม (ทรงเปล่งรัศมี)
ทำทิศทั้งปวงให้สว่างไสว เสด็จเข้าไปยังภพของข้าพเจ้า 
(032) Upaviṭṭhaṃ mahāvīraṃ devadevaṃ narāsabhaṃ /
bhikkhusaṅghaṃ santappesiṃ annapānen’ ahaṃ tadā. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๑] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าอังคาสพระผู้มีพระภาค
ผู้มีความเพียรมาก ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ผู้องอาจกว่านรชน
และหมู่ภิกษุให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ 
Anumodi mahāvīro sayambhu aggapuggalo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā imā gāthā abhāsatha: // ApTha_1,2. // 
[๓๘๒] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีความเพียรมาก
ผู้เป็นพระสยัมภู เป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนาแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
Yo so saṅghaṃ apūjesi buddhañ ca lokanāyakaṃ /
tena cittappasādena devalokaṃ gamissati. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๓] บุคคลใดได้บูชาพระสงฆ์ และได้บูชาพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น
บุคคลนั้นจักไปเกิดยังเทวโลก 
Sattasattatikkhattuñ ca devarajjaṃ karissati /
paṭhavyarajjaṃ aṭṭhasataṃ vasudham āvasissati. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๔] จักครองเทวสมบัติ ๗๗ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ 
Pañcapaññāsakkhattuṃ ca cakkavatti bhavissati /
bhogā asaṅkhiyā tassa uppajjissanti tāvade. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๕] และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๕ ชาติ
โภคสมบัตินับจำนวนไม่ถ้วนจักเกิดขึ้นแก่เขาในขณะนั้น 
Aparimeyye ito kappe Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Nirayā so cavitvāna manussattaṃ gamissati /
Kolito nāma nāmena brahmabandhu bhavissati. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๗] เขาจุติจากนรกแล้วจักมาเกิดเป็นมนุษย์
เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าโกลิตะ 
So pacchā pabbajitvāna kusalamūlena codito /
Gotamassa bhagavato dutiyo hessati sāvako. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๘] ภายหลัง เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักบวชเป็นสาวกองค์ที่ ๒ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม 
Āraddhavīriyo pahitatto iddhiyā pāramiṅgato /
sabbāsave pariññāya nibbāyissat’ anāsavo. // ApTha_1,2. // 
[๓๘๙] เป็นผู้บำเพ็ญเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว(เพื่อนิพพาน)
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน 
Pāpamittopanissāya kāmarāgavasaṅgato /
mātaraṃ pitaraṃ cāpi ghātayiṃ duṭṭhamānaso. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๐] (พระเถระครั้นกล่าวคำพยากรณ์ที่ตนได้รับแล้ว
เมื่อจะประกาศความประพฤติชั่วจึงกล่าวว่า)
ข้าพเจ้าคลุกคลีมิตรชั่ว ตกอยู่ในอำนาจกามราคะ
มีใจโกรธเคือง ได้ฆ่ามารดาและบิดาเสียแล้ว 
Yaṃ yaṃ yon’ upapajjāmi nirayaṃ atha mānusaṃ /
pāpakammasamaṅgīnaṃ bhinnasīso bhavām ahaṃ. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๑] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใดๆ คือ จะเป็นนรกหรือมนุษย์ก็ตาม
เพราะเป็นผู้มากด้วยความชั่ว ข้าพเจ้าจึงถูกทุบศีรษะตาย 
Idaṃ pacchimakaṃ mayhaṃ carimo vattate bhavo /
idhāpi ca 'disaṃ mayhaṃ maraṇakāle bhavissati. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๒] นี้เป็นกรรมครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
กรรมเช่นนี้จักปรากฏแก่ข้าพเจ้าในเวลาจะตายแม้ในชาตินี้ 
Pavivekaṃ anuyutto samādhibhāvanārato /
sabbāsave pariññāya viharāmi anāsavo. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๓] ข้าพเจ้าหมั่นประกอบความสงัด ยินดีในการเจริญสมาธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Dharaṇiṃ pi sugambhīraṃ bahalaṃ duppadhaṃsiyaṃ /
vāmaṅguṭṭhena khobheyyam iddhiyā pāramiṃgato. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๔] (เมื่อพระเถระจะประกาศผลแห่งความประพฤติในก่อน จึงกล่าวว่า)
ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ พึงใช้นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย
เขี่ยแผ่นดินซึ่งทั้งลึกทั้งหนาที่อะไรๆ กำจัดได้ยาก ให้ไหวได้ 
Asmimānaṃ na passāmi māno mayhaṃ na vijjati /
sāmaṇere upādāya garucittaṃ karom’ ahaṃ. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๕] ข้าพเจ้าไม่เห็นอัสมิมานะ(ถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่)
ข้าพเจ้าไม่มีความถือตัว
ข้าพเจ้ากระทำจิตให้มีความเคารพ แม้กระทั่งสามเณร 
Aparimeyye ito kappe yaṃ kammaṃ abhinīhariṃ /
tāhaṃ bhumiṃ anuppatto patto 'mhi āsavakkhayaṃ. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญกรรมใดไว้
ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงภูมินั้น แล้วบรรลุความสิ้นอาสวะ 
(033) Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,2. // 
[๓๙๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Mahāmoggallāno thero imā gāthāyo abhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Mahāmoggallānattherassa [bojjhaṅgaṃ] apadānaṃ samattaṃ. 
มหาโมคคัลลานเถราปทานที่ ๒ จบ 
3. Mahā-Kassapa 
๓. มหากัสสปเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระมหากัสสปเถระ (พระมหากัสสปเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Padumuttarassa bhagavato lokajeṭṭhassa tādino /
nibbute lokanāthamhi pūjaṃ kubbanti satthuno /
udaggacittā janatā āmoditapamoditā. // ApTha_1,3. // 
[๓๙๘] ประชาชนพากันทำการบูชาพระผู้มีพระภาค
ผู้ศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 
Tesu saṃvegajātesu pīti me udapajjatha /
ñatimitte samānetvā idaṃ vacanam abraviṃ: /
‘Parinibbuto mahāvīro handa pūjaṃ karomase.’ // ApTha_1,3. // 
[๓๙๙] หมู่ชนมีจิตร่าเริง บันเทิงเบิกบาน ทำการบูชา
เมื่อหมู่ชนนั้นเกิดความสังเวช แต่ข้าพเจ้าเกิดความปีติยินดี
[๔๐๐] ข้าพเจ้าได้เชิญญาติมิตรมาประชุมกันแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคผู้มีความเพียรมากได้ปรินิพพานแล้ว
ขอเชิญพวกเรามาทำการบูชาเถิด 
Sadhū ti te paṭissutvā bhiyyo hāsaṃ janiṃsu me /
buddhasmiṃ lokanāthasmiṃ kāhāma puññasañcayaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๑] ญาติมิตรของข้าพเจ้าเหล่านั้นรับคำแล้ว
ก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความร่าเริงเป็นอย่างยิ่งว่า
พวกเราจักทำการสั่งสมบุญ
ในพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก 
Agghiyaṃ sukataṃ katvā satahatthaṃ samuggataṃ /
diyaḍḍhaṃ hatthasataṃ pi vimānaṃ nabham uggataṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๒] ข้าพเจ้าได้ช่วยกันสร้างอัคฆิยเจดีย์
เป็นเจดีย์ที่สร้างอย่างดี สูง ๑๐๐ ศอก กว้าง ๑๕๐ ศอก
เป็นดังวิมานสูงเสียดฟ้า สั่งสมบุญไว้แล้ว 
Katvāna agghiyaṃ tattha tālapantīhi cittitaṃ /
sakaṃ cittaṃ pasādetvā cetiyaṃ pūjay' uttamaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๓] ข้าพเจ้าครั้นสร้างอัคฆิยเจดีย์ ซึ่งงดงามด้วยแนวแห่งต้นตาล
ไว้ใกล้สถานที่ที่ทำการบูชาเจดีย์นั้นแล้ว
ทำจิตของตนให้เลื่อมใส บูชาเจดีย์อันสูงสุด 
Aggikkhandho va jalito sālarājā va phullito /
indalaṭṭhīva ākāse obhāseti catuddisā. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๔] พระเจดีย์นั้นรุ่งเรืองอยู่(ด้วยรัตนะทั้ง ๗)
ดุจกองไฟลุกโพลงอยู่ ส่องสว่างทั่วทั้ง ๔ ทิศ
ดุจต้นพญาไม้สาละออกดอกบานสะพรั่ง และดุจสายรุ้งในอากาศ 
Tesu cittaṃ pasādetvā katvāna kusalaṃ bahuṃ /
pubbakammaṃ saritvāna tidasaṃ upapajj’ ahaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๕] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น
สร้างกุศลเป็นอันมากแล้วระลึกถึงบุพกรรมแล้ว
จึงไปเกิดยังสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ 
(034) Sahassayuttaṃ hayavāhiṃ dibbaṃ yānam adhiṭṭhito /
ubbiddhaṃ bhavanaṃ mayhaṃ sattabhūmi samuggataṃ // ApTha_1,3. // 
[๔๐๖] ข้าพเจ้าอธิษฐานยานทิพย์เทียมด้วยม้าสินธพ ๑,๐๐๐ ตัว
วิมานของข้าพเจ้า สูงตระหง่าน ๗ ชั้น 
Kūṭāgārasahassāni sabbe sovaṇṇayā ahuṃ /
jalanti sakatejena disā sabbā pabhāsayaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๗] (ในวิมานนั้น) มีเรือนยอด ๑,๐๐๐ หลัง ทำด้วยทองคำล้วน
รุ่งเรืองด้วยเดชของตน ส่องสว่างทั่วทุกทิศ 
Santi aññe pi niyyuhā lohitaṅkamayā tadā /
te pi jotanti ābhāya samantā caturo disā // ApTha_1,3. // 
[๔๐๘] ครั้งนั้น มีศาลาหน้ามุขทำด้วยแก้วทับทิมแม้เหล่าอื่นอยู่
ศาลาหน้ามุขแม้เหล่านั้นมีรัศมีโชติช่วงรอบๆ ทั้ง ๔ ทิศ 
Puññakammābhinibbattā kūṭāgārā sunimmitā /
maṇimayāpi jotanti disādasa samantato. // ApTha_1,3. // 
[๔๐๙] เรือนยอดซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุญกรรม
ที่บุญกรรมเนรมิตไว้อย่างดี
ทำด้วยแก้วมณี โชติช่วงโดยรอบทั่วทุกทิศ 
Tesaṃ ujjotamānānaṃ obhāso vipulo ahu /
sabbe deve atibhomi puññakammass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๐] แสงสว่างแห่งเรือนยอดซึ่งโชติช่วงอยู่เหล่านั้นได้สว่างเจิดจ้า
ข้าพเจ้าปกครองเทวดาทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม 
Saṭṭhikappasahassamhi Ubbiddho nāma khattiyo /
caturanto vijitāvī puṭhaviṃ āvasiṃ ahaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๑] ในกัปที่ ๖๐,๐๐๐ (นับแต่กัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์นามว่าอุพพิทธะ มีชัยชนะ
มีทวีปทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ครองแผ่นดิน 
Tamh’ eva bhaddake kappe tiṃsakkhattuṃ ahos ahaṃ /
sakakammābhiraddho 'mhi cakkavatti mahabbalo. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๒] ในภัทรกัปก็อย่างนั้นเหมือนกัน
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีพลานุภาพมาก
ยินดีพอใจในกรรมของตน ถึง ๓๐ ชาติ 
Sattaratanasampanno cātudīpamhi issaro /
tatthāpi bhavanaṃ mayhaṃ indalaṭṭhi 'va uggataṃ // ApTha_1,3. // 
[๔๑๓] ข้าพเจ้าเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ
ในคราวเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น
ปราสาทของข้าพเจ้าสูงตระหง่านดังสายรุ้ง 
Āyāmato catubbīsaṃ vitthārena ca dvādasā. /
Rammakaṃ nāma naṅgaraṃ daḷhapākāratoraṇaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๔] ปราสาทนั้นยาว ๒๔ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์
มีกรุงชื่อว่ารัมมกะ มีกำแพงและค่ายมั่นคง 
Āyāmato pañcasataṃ vitthārena tadaḍḍhakaṃ /
ākiṇṇaṃ janakāyehi tidasānaṃ puraṃ viya. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๕] นครนั้น มีกำแพงและค่ายยาว ๕๐๐ โยชน์
กว้าง ๒๕๐ โยชน์ มีหมู่ชนพลุกพล่านขวักไขว่
ดังเมืองสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ 
Yathā sucighare sucipakkhittā paṇṇuvīsati /
aññamaññam saṅghaṭṭhenti ākiṇṇaṃ hoti taṃ tadā. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๖] เข็ม ๒๕ เล่มที่ใส่ไว้ในกล่องเข็มแล้ว
ย่อมกระทบกันและกัน เบียดเสียดกันเป็นนิตย์ ฉันใด 
Evam pi nagaraṃ mayhaṃ hatthassarathasaṅkulaṃ /
manussehi tadākiṇṇaṃ Rammakaṃ naṅgaruttamaṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๗] แม้กรุงของข้าพเจ้าก็ฉันนั้น
พลุกพล่านขวักไขว่ไปด้วยช้าง ม้า และรถ
มีมนุษย์ ขวักไขว่น่ารื่นรมย์ เป็นกรุงอันอุดม 
Tattha bhutvā ca pitvā ca puna devattataṃ gato /
bhave pacchimake mayhaṃ ahosi kulasampadā. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๘] ข้าพเจ้า ดื่ม กิน อยู่ในกรุงนั้น แล้วกลับไปเกิดเป็นเทวดาอีก
ในภพสุดท้าย กุศลสมบัติได้มีแก่ข้าพเจ้า 
(035) Brāhmaññakulasambhūto mahāratanasañcayo /
asītiṃkoṭiyo hitvā 'bhiraññassa paribbajiṃ. // ApTha_1,3. // 
[๔๑๙] ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลพราหมณ์ สะสมรัตนะไว้เป็นอันมาก
สละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แล้วออกบวช 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,3. // 
[๔๒๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Mahākassapo thero imā gāthāyo abhāsitthāti.  Mahākassapatherassa apadānaṃ samattaṃ. 
ได้ทราบว่า ท่านพระมหากัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้  มหากัสสปเถราปทานที่ ๓ จบ 
4. Anuruddha 
๔. อนุรุทธเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Sumedhaṃ bhagavantāhaṃ lokajeṭṭhaṃ narāsabhaṃ /
vupakaṭṭhaṃ viharantaṃ addasaṃ lokanāyakaṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธะ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เสด็จหลีกเร้นอยู่ 
Upagantvāna sambuddhaṃ sumedhaṃ lokanāyakaṃ /
añjalim paggahetvāna buddhaseṭṭham ayāc’ ahaṃ: // ApTha_1,4. // 
[๔๒๒] ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ได้ประคองอัญชลี
ทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดว่า 
‘Anukampī mahāvīra lokajeṭṭha narāsabha /
padīpan te padassāmi rukkhamūlamhi jhāyato.' // ApTha_1,4. // 
[๔๒๓] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีความเพียรมาก ผู้เจริญที่สุดในโลก
ทรงองอาจกว่านรชน ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ด้วยเถิด
ข้าพระองค์จะถวายประทีปแด่พระองค์ ผู้เข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้ 
Adhivāsesi so dhīro sayambhū vadataṃ varo /
dumesu vinivijjhitvā yantaṃ yojetv' ahaṃ tadā. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๔] พระสยัมภูธีรเจ้า ทรงเป็นผู้ประเสริฐ
กว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายพระองค์นั้นทรงรับแล้ว
ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เจาะต้นไม้ประกอบประทีปยนต์ 
Sahassavaṭṭiṃ pādāsiṃ buddhassa lokabandhuno /
sattāhaṃ pajjalitvāna padīpā vupasammisuṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๕] ข้าพเจ้าได้มอบถวายไส้ตะเกียง ๑,๐๐๐ ไส้
แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก
ดวงประทีปทั้งหลายลุกโพลงอยู่ตลอด ๗ วันแล้วก็ดับไปเอง 
Tena cittappasādena cetanāpaṇidhīhi ca /
jahitvā mānusaṃ dehaṃ vimānaṃ upapajj ahaṃ17 // ApTha_1,4. // 
[๔๒๖] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้นและด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วได้ไปเกิดยังวิมาน 
Upapannassa devattaṃ thambho āsi sunimmito /
samantato pajjalati dīpadānass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๗] เมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นเทวดา
วิมานที่กรรมเนรมิตไว้ดีแล้ว ย่อมรุ่งเรืองรอบด้าน
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป 
(036) Samantā yojanaṃ sabbaṃ virocemi ahaṃ tadā /
sabbe deve atihomi dīpadānass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๘] ครั้งนั้น ข้าพเจ้ารุ่งเรืองทั่วตลอดหนึ่งโยชน์โดยรอบ
ย่อมปกครองเทวดาทั้งปวง
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป 
Tiṃsakappāni devindo devarajjam akārayiṃ /
na maṃ kec’ atimaññanti dīpadānass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๒๙] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพครองเทวสมบัติอยู่ถึง ๓๐ กัป
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ดูหมิ่นข้าพเจ้าไม่ได้
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป 
Aṭṭhavīsatikkhattuñ ca cakkavattī ahos ahaṃ /
divārattiñ ca passāmi samantā yojanaṃ tadā. // ApTha_1,4. // 
[๔๓๐] ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๘ ชาติ
และในครั้งนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นได้ตลอดหนึ่งโยชน์
โดยรอบทั้งกลางวันและกลางคืน 
Sahassalokaṃ ñāṇena passāmi satthu sāsane /
dibbacakkhuṃ anuppatto dīpadānass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,4. // 
[๔๓๑] ข้าพเจ้าได้ตาทิพย์ ย่อมมองเห็นได้ตลอด ๑,๐๐๐ จักรวาล
ด้วยญาณในศาสนาของพระศาสดา
นี้เป็นผลแห่งการถวายดวงประทีป 
Sumedho nāma sambuddho tiṃsakappasahass’ ito /
tassa dīpo mayā dinno vippasannena cetasā. // ApTha_1,4. // 
[๔๓๒] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ข้าพเจ้ามีจิตผ่องใส ได้ถวายดวงประทีปแด่พระองค์ 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,4. // 
[๔๓๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔
วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Anuruddhatthero imā gāthāyo 'bhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระอนุรุทธเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Anuruddhattherassa apadānaṃsamattaṃ. 
อนุรุทธเถราปทานที่ ๔ จบ 
5. Puṇṇa-Mantāniputta 
๕. ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ (พระปุณณมันตานีบุตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Ajjhāyako mantadharo tiṇṇaṃ vedānapāragū /
purakkhato 'smi sissehi upagacchiṃ naruttamaṃ. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๔] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์
จบไตรเพท ห้อมล้อมด้วยศิษย์ทั้งหลายแล้ว
ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดแห่งนรชน 
Padumuttaro lokavidū ahutīnaṃ paṭiggaho /
mama kammaṃ pakittesi saṅkhittena mahāmuni. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ทรงเป็นมหามุนี ได้ประกาศกรรมของข้าพเจ้าโดยย่อ 
Tāhaṃ dhammaṃ suṇitvāna abhivādetvāna satthuno /
añjalim paggahetvāna pakkāmiṃ dakkhiṇāmukho. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๖] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงถวายอภิวาทพระศาสดา
ประคองอัญชลี บ่ายหน้าหลีกไปทางทิศใต้ 
Saṅkhittena suṇitvāna vitthārena adesayiṃ /
sabbe sissā attamanā sutvāna mama bhāsato. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๗] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมมาโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร
ศิษย์ทุกคนต่างพอใจฟังข้าพเจ้ากล่าวอยู่ 
Sakadiṭṭhiṃ vinodetvā buddhe cittaṃ pasādayuṃ /
saṅkhittena pi desemi vitthārena tath ev ahaṃ. // ApTha_1,5. // 
แล้วบรรเทาทิฏฐิของตน
ต่างทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า 
(037) Abhidhammanayañño haṃ Kathāvatthuvisuddhiyā /
sabbesaṃ viññāpetvāna viharāmi anāsavo. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๘] แม้โดยย่อข้าพเจ้าก็แสดงได้ โดยพิสดารก็แสดงได้เหมือนกัน
เป็นผู้มีความรู้ในนัยแห่งพระอภิธรรม
เป็นผู้ฉลาดในกถาวัตถุปกรณ์อย่างหมดจด
ให้ปวงชนได้รู้แจ่มแจ้งแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Ito pañcasate kappe caturo suppakāsakā /
sattaratanasampannā cātuddīpamhi issarā. // ApTha_1,5. // 
[๔๓๙] ในกัปที่ ๕๐๐ นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีชื่อเสียงถึง ๔ ชาติ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,5. // 
[๔๔๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้ 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Puṇṇomantāniputtothero imā gāthāyo abhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Puṇṇo Mantāṇiputtattherassa apadānaṃsamattaṃ. 
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๕ จบ 
6. Upāli 
๖. อุปาลิเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระอุบาลีเถระ (พระอุบาลีเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Naṅgare Haṃsavatiyā Sujāto nāma brāhmaṇo /
asītikoṭinicayo pahūtadhanadhaññavā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๑] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุชาตะ
ในกรุงหงสวดี มีกองทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นอันมาก 
Ajjhāyako mantadharo tiṇṇaṃ vedānapāragū /
lakkhaṇe itibhāse ca saddhamme pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๒] เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์
จบไตรเพท สำเร็จในคัมภีร์พยากรณ์ลักษณะ
คัมภีร์อิติหาสะ และไตรเพท อันเป็นธรรมของตน 
Paribbājā ekasikhā Gotamabuddhasāvakā /
carakā tāpasā c’ eva caranti mahiyā tadā // ApTha_1,6. // 
[๔๔๓] ครั้งนั้น เหล่าปริพาชกผู้มีผมปอยเดียว
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเชื้อสายพระอาทิตย์
และเหล่าดาบสผู้เที่ยวสัญจร
พากันท่องเที่ยวไปบนพื้นแผ่นดิน 
‘Te pi maṃ parivārenti’ brāhmaṇo vissuto iti; /
bahujjano maṃ pūjeti nāhaṃ pūjemi kañcinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๔] แม้พวกเขาก็พากันห้อมล้อมข้าพเจ้า
ด้วยสำคัญว่า เป็นพราหมณ์ มีชื่อเสียง
ชนจำนวนมากพากันบูชาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่บูชาใครๆ 
Pūjārahaṃ na passāmi mānatthaddho ahaṃ tadā /
buddho ti vacanaṃ natthi tāva nuppajjate jino. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นใครว่าเป็นผู้ที่ควรบูชา จึงถือตัวจัด
พระชินเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นมาตราบใด
คำว่า พุทธะ ก็ยังไม่มีตราบนั้น 
Accayena ahorattaṃ Padumuttaranāyako /
sabbaṃ tamaṃ vinodetvā loke uppajji cakkhumā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๖] เมื่อวันคืนล่วงไป พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงเป็นผู้นำ ผู้มีพระจักษุ
เสด็จอุบัติขึ้นมาบรรเทาความมืดทั้งปวงในโลก 
Vitthārike bahujaññe puthubhūte ca sāsane /
upāgami tadā buddho naṅgaraṃ Haṃsasavhayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๗] เมื่อศาสนาแผ่ไปกว้างขวาง มีท่านผู้รู้มากและเป็นปึกแผ่น
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังกรุงหงสวดี 
(038) Parūpatthā*ya so buddho*dhammaṃ desesi cakkhumā /
tena kālena parisā samantā yojanaṃ tadā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๘] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุพระองค์นั้น
ได้ทรงแสดงธรรมเป็นประโยชน์แก่พระบิดา
มีชุมนุมชนอยู่โดยรอบตลอดหนึ่งโยชน์ ตามเวลานั้น 
Sammato manujānaṃ so Sunando nāma tāpaso /
yāvatā buddhaparisā puppheh’ acchādayī tadā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๙] ครั้งนั้น สุนันทดาบสได้รับสมมติจากหมู่ชน(ว่าเป็นเลิศ)
ได้ใช้ดอกไม้บังแดดทั่วพุทธบริษัท 
Catusaccaṃ pakāsento seṭṭhe va pupphamaṇḍape /
koṭisatasahassānaṃ dhammābhisamayo ahu. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๐] เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจจะ ๔
ณ มณฑปดอกไม้ที่งดงาม
เหล่าสัตว์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรม 
Sattarattindivaṃ buddho vassitvā dhammavuṭṭhiyā /
aṭṭhame divase patte Sunandaṃ kittayi jino. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๑] พระพุทธเจ้าทรงบันดาลหยาดฝนคือพระธรรม
ให้ตกลงตลอดทั้ง ๗ คืน ๗ วัน
พอถึงวันที่ ๘ พระชินเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสว่า 
Devaloke manusse vā saṃsaranto ayaṃ bhave /
sabbesaṃ pavaro hutvā bhaveussaṃsarissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๒] ท่านผู้นี้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดในเทวโลกหรือมนุษยโลก
ก็จักเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครทั้งหมด
จักเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งหลาย 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tassa dhammesu dāyādo oraso dhammanimmito /
Mantāṇiputto Puṇṇo ti hessati satthu sāvako. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๔] ท่านผู้นี้จักเป็นบุตรของนางมันตานี มีนามว่าปุณณะ
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น 
Evaṃ kittayi sambuddho Sunandaṃ tāpasaṃ tadā /
hāsayanto janaṃ sabbaṃ dassayanto sakaṃ balaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๕] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสอย่างนี้แล้ว
ทำให้ประชาชนทั้งปวงร่าเริง ทรงแสดงกำลังของพระองค์ 
Katañjalī namassanti Sunandaṃ tāpasaṃ tadā /
buddhe kāraṃ karitvāna sodhesi gatim attano. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๖] ครั้งนั้น ประชาชนประนมมือไหว้สุนันทดาบส
แต่สุนันทดาบสครั้นทำสักการะในพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ได้ชำระคติ(กำเนิด)ของตนให้บริสุทธิ์หมดจด 
Tattha me ahu saṅkappo sutvāna munino vacaṃ /
aham pi kāraṃ karissāmi yathā passāmi Gotamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๗] เพราะข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระมุนี ณ ที่นั้น
จึงได้มีความดำริว่า เราจักสั่งสมบุญ
โดยประการที่จะได้พบพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม 
Evāhaṃ cintayitvāna kiriyaṃ cintayiṃ mamaṃ /
kyāhaṃ kammaṃ ācarāmi puññakkhette anuttare. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๘] ครั้นข้าพเจ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดถึงกิจที่เราควรทำว่า
เราจะบำเพ็ญบุญกรรมเช่นไร ในเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยม 
Ayaṃ ca pāṭhiko bhikkhu sabbapāṭhikasāsane /
vinaye agganikkhitto taṃ ṭhānaṃ patthaye ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๙] บรรดาภิกษุผู้เป็นนักสวดทั้งหมดในศาสนา
ภิกษุรูปนี้เป็นนักสวดรูปหนึ่ง
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้เลิศในทางวินัย
ตำแหน่งนั้นข้าพเจ้าปรารถนา แล้ว 
Idaṃ me amitaṃ bhogaṃ akkhobhaṃ sāgarūpamaṃ /
tena bhogena buddhassa ārāmaṃ māpaye ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๐] โภคสมบัติของข้าพเจ้านี้นับประมาณมิได้
เปรียบดังห้วงน้ำที่ไม่มีอะไรๆ ทำให้กระเพื่อมได้ (นับไม่ได้)
ข้าพเจ้าได้จ่ายโภคสมบัตินั้นสร้างอารามถวายพระพุทธเจ้า 
Sobhanaṃ nāma ārāmaṃ naṅgarassa puratthato /
katvā satasahassena saṅghārāmaṃ amāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๑] ข้าพเจ้าจ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อสวนชื่อว่าโสภณะ
ด้านทิศตะวันออกนคร สร้างให้เป็นสังฆาราม 
(039) Kūṭāgāre ca pāsāde maṇḍape kammiye guhā /
caṅkame sukate katvā saṅghārāmaṃ amāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๒] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนยอด ปราสาท มณฑป
เรือนโล้น ถ้ำ และที่จงกรมไว้ในสังฆารามอย่างดี 
Jantāgharaṃ aggisālaṃ adho udakamālakaṃ /
nahānagharaṃ māpayitvā bhikkhusaṅghass’ adās’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๓] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนไฟ โรงไฟ
โรงน้ำ และห้องอาบน้ำ ถวายแด่หมู่ภิกษุ 
Āsandiyo pīṭhake ca paribhoge ca bhājane /
ārāmikañ ca bhesajjaṃ sabbam etaṃ adās’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๔] ข้าพเจ้าได้ถวายเก้าอี้นอน ตั่ง
ภาชนะสำหรับใช้สอย คนวัด และเภสัชนั้นครบทุกอย่าง 
Ārakkhaṃ paṭṭhapetvāna pākāraṃ kārayiṃ daḷhaṃ /
mā naṃ koci viheṭhesi santacittāna tādinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๕] ข้าพเจ้าได้จัดตั้งอารักขาไว้ ให้สร้างกำแพงอย่างมั่นคง
ด้วยหวังว่า ใครๆ อย่าได้รบกวนอารามแห่งนั้น
ของท่านผู้มีจิตสงบ ผู้คงที่เลย 
Āvāsasatasahassena saṅghārāmaṃ amāpayiṃ /
vepullataṃ pāpayitvā sambuddhaṃ upanāmayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๖] ข้าพเจ้าได้จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนสร้างที่อยู่ไว้ในสังฆาราม
ครั้นให้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงน้อมถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า 
Niṭṭhāpito mayārāmo sampaṭiccha tuvaṃ muni /
niyyātessāmi te vīra adhivāsehi cakkhumā. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๗] ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์สร้างอารามเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขอพระองค์ทรงรับเถิด ข้าแต่พระธีรเจ้าผู้มีพระจักษุ
ข้าพระองค์ขอมอบถวายแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงรับเถิด 
Padumuttaro lokavidū āhutīnaṃ paṭiggaho /
mama saṅkappam aññāya adhivāsesi nāyako. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ทรงเป็นผู้นำ
ทราบความดำริของข้าพเจ้าแล้ว จึงทรงรับไว้ 
Adhivāsanam aññāya sabbaññussa mahesino /
bhojanaṃ paṭiyādetvā kālam ārocayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๙] ข้าพเจ้าทราบการรับของพระสัพพัญญู
ผู้แสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่
จึงตระเตรียมโภชนาหารแล้ว ไปกราบทูลภัตตกาล 
Ārocitamhi kālamhi Padumuttaranāyako /
khīṇāsavasahassehi ārāmaṃ me upāgami. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๐] เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลภัตตกาลแล้ว
พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงเป็นผู้นำ
พร้อมด้วยพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จมาสู่อารามของข้าพเจ้า 
Nisinnaṃ kālam aññāya annapānena tappayiṃ /
bhuttāviṃkālam aññāya idaṃ vacanam abraviṃ: // ApTha_1,6. // 
[๔๗๑] ข้าพเจ้าทราบเวลาที่พระองค์ประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
จึงอังคาสให้อิ่มหนำ
ทราบเวลาที่เสวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลคำนี้ว่า 
‘Kīto satasahassena tattaken’ eva kārito /
Sobhano nāma ārāmo sampaṭiccha tuvaṃ mune.' // ApTha_1,6. // 
[๔๗๒] อารามชื่อโสภณะข้าพระองค์จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อมา
ได้สร้างจนเสร็จเรียบร้อยด้วยทรัพย์จำนวนเท่านั้นเช่นกัน
ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์ทรงรับเถิด 
Iminārāmadānena cetanāpaṇidhīhi ca /
bhave nibbattamāno 'haṃ labhāmi mama patthitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๓] ด้วยการถวายพระอารามแห่งนี้และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
เมื่อข้าพระองค์บังเกิดในภพ
ขอจงได้สิ่งที่ข้าพระองค์ปรารถนาเถิด 
Paṭiggahetvā sambuddho saṅghārāmaṃ sumāpitaṃ /
bhikkhusaṅghe nisīditvā idaṃ vacanam abravi. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับสังฆาราม
ที่ข้าพเจ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า 
"Yo so buddhassa pādāsi saṅghārāmaṃ sumāpitaṃ /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇotha mama bhāsato: // ApTha_1,6. // 
[๔๗๕] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายสังฆาราม
ซึ่งสร้าง(กุฏิ ที่เร้น มณฑป ปราสาท เรือนโล้น และกำแพงเป็นต้น)
เสร็จเรียบร้อยแล้วแด่พระพุทธเจ้า
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
(040) Hatthī-assā-rathā-pattī senā ca caturaṅginī /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๖] กองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า
พลรถ และพลเดินเท้า จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Saṭṭhiṃ turiyasahassāni bheriyo samalaṅkatā /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idan phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๗] เครื่องดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งสวยงาม จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Chalāsītisahassāni nāriyo samalaṅkatā /
vicittavatthābharaṇā āmuttamaṇikuṇḍalā. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๘] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง ผู้ประดับตกแต่งสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี 
Āḷārāpamhā hasulā susaññā tanumajjhimā /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๙] มีหน้ากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม
เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Tiṃsakappasahassāni devaloke ramissati /
sahassakkhattuṃ devindo devarajjaṃ karissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๐] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ 
Devarājena pattabbaṃ sabbaṃ paṭilabhissati /
anūnabhogo hutvāna devarajjaṃ karissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๑] จักได้สิ่งของทุกอย่างที่ท้าวเทวราชจะพึงได้
เป็นผู้มีโภคทรัพย์ไม่รู้จักพร่อง ครองเทวสมบัติ 
Sahassakkhattuṃ cakkavatti rājā raṭṭhe bhavissati /
pathavyā rajjaṃ vipulaṃ gaṇanāto asaṅkhiyaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๒] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tassa dhammesu dāyādo oraso dhammanimmito /
Upāli nāma nāmena hessati satthu sāvako. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๔] ท่านผู้นี้จักมีนามว่าอุบาลี
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
เป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น 
Vinaye pāramippatto ṭhānāṭhāne ca kovido /
jinasāsanaṃ dhārento viharissat’ anāsavo." // ApTha_1,6. // 
[๔๘๕] จักถึงความสำเร็จในวินัย เป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะ
ดำรงศาสนาของพระชินเจ้าไว้ได้ อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Sabbam etaṃ abhiññāya Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā etadagge ṭhapessati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงทราบความนั้นทั้งหมดแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
จักทรงตั้ง(อุบาลี)ไว้ในเอตทัคคะ 
Aparimeyy’ upādāya patthemi tava sāsanaṃ /
so me attho anuppatto sabbasaṃyojanakkhayo. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๗] ข้าพระองค์ปรารถนาศาสนาของพระองค์
เริ่มต้นตั้งแต่(หลายแสน)กัปที่นับมิได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้น
ทั้งได้บรรลุความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามลำดับ 
Yathā sūlāvuto poso rājadaṇḍena tajjito /
sūle sātaṃ na vindanto parimuttiṃ 'va icchati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๘] คนถูกคุกคามด้วยพระราชอาญา
ถูกเสียบไว้ที่หลาวแล้ว ไม่ได้ความสำราญที่หลาว
ต้องการแต่จะหลุดพ้นไปอย่างเดียว ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra bhavadaṇḍena tajjito /
kammasūlāvuto santo pipāsāvedanāṭṭito. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกคุกคามด้วยอาชญาคือภพ ถูกเสียบไว้ที่หลาวคือกรรม
ถูกเวทนาคือความกระหายบีบคั้นแล้ว 
Bhave sātaṃ na vindāmi ḍayhanto tīhi aggihi /
parimuttiṃ gavesāmi yathāpi rājadaṇḍito. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๐] ไม่ประสบความสำราญในภพ
ถูกไฟ ๓ กอง แผดเผาอยู่ แสวงหาอุบายรอดพ้น
ดุจคนแสวงหาอุบายรอดพ้นจากพระราชอาญา ฉะนั้น 
(041) *Yathā visādo puri*so visena paripīḷito /
agadaṃ so gaveseyya visaghātāy’ upāyaso. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๑] คนดื่มยาพิษ ถูกยาพิษบีบคั้น
เขาจึงแสวงหายากำจัดยาพิษ 
Gavesamāno passeyya agadaṃ visaghātakaṃ /
tam pivitvā sukhī assa visamhā parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๒] เมื่อแสวงหา จึงได้พบยากำจัดยาพิษ
ดื่มยานั้นแล้วก็มีความสุข เพราะรอดพ้นจากยาพิษ ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra yathā visahato naro /
sampīḷito *avijjāya saddhammāgadaṃ* es'ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เป็นเหมือนคนถูกยาพิษทำร้าย
ถูกอวิชชาบีบคั้น จึงแสวงหายาคือพระสัทธรรม 
Dhammāgadhaṃ gavesanto addakkhiṃ Sākyasāsanaṃ /
aggasabbosadhānaṃ taṃ sabbasallavinodanaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๔] เมื่อแสวงหายาคือพระธรรมก็ได้พบศาสนาของพระศากยะ
ศาสนานั้นเป็นยาชั้นเลิศกว่ายาทุกขนาน
สำหรับบรรเทาลูกศรทุกชนิด 
Dhammosadhaṃ pivitvāna visaṃ sabbaṃ samūhaniṃ /
ajarāmaraṃ sītibhāvaṃ nibbānaṃ passayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๕] ข้าพระองค์ดื่มธรรมโอสถแล้วก็ถอนพิษได้ทั้งหมด
ข้าพระองค์ได้สัมผัสพระนิพพาน ซึ่งไม่แก่ ไม่ตาย
เป็นภาวะเย็นสนิท 
Yathā bhūtaṭṭito poso bhūtaggāhena pīḷito /
bhūtavejjaṃ gaveseyya bhūtasmā parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๖] คนถูกผีคุกคาม ถูกผีสิงบีบคั้น
พึงแสวงหาหมอผี เพื่อรอดพ้นจากผี 
Gavesamāno passeyya bhūtavijjāsu kovidaṃ /
tassa so vihaññe bhūtaṃ samūlañ ca vināsaye. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๗] เมื่อแสวงหา ก็ได้พบหมอผีผู้ฉลาดในวิชาไล่ผี
หมอผีนั้นจึงขับไล่ผีให้คนนั้น
และทำผีพร้อมทั้งต้นเหตุให้พินาศ ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra tamaggāhena pīḷito /
ñāṇalokaṃ gavesāmi tamato parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกผีคือความมืด(คือกิเลส)เบียดเบียน
จึงแสวงหาแสงสว่างคือญาณเพื่อรอดพ้นจากความมืด 
Ath’ addasaṃ Sakyamuniṃ kilesatamasodhanaṃ /
so me tamaṃ vinodesi bhūtavejjo va bhūtikaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๙] ต่อมา ข้าพระองค์ได้พบพระศากยมุนีผู้ชำระความมืดคือกิเลส
พระศากยมุนีนั้น ทรงบรรเทาความมืดให้ข้าพระองค์
ดุจหมอผีขับไล่ผีไป ฉะนั้น 
Saṃsārasotaṃ sañchindiṃ taṇhāsotaṃ nivārayiṃ; /
bhavaṃ ugghāṭayiṃ sabbaṃ bhūtavejjo va mūlato. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๐] ข้าพระองค์ได้ตัดกระแสการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
ห้ามกระแสแห่งตัณหาได้ ถอนภพขึ้นได้หมดสิ้น
ดุจหมอผีขับไล่ผีไปพร้อมทั้งต้นเหตุ ฉะนั้น 
Garuḷo yathā opatti pannagaṃ bhakkham attano /
samantāyojanasataṃ vikkhobheti mahāsaraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๑] พญาครุฑโฉบลงจับนาคซึ่งเป็นภักษาของตน
ย่อมทำน้ำในสระใหญ่ให้กระเพื่อมถึง ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ 
Pannagaṃ so gahetvāna adhosīsaṃ viheṭhayaṃ /
ādāya so pakkamati yena kāmaṃ vihaṅgamo. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๒] ครั้นพญาครุฑนั้นจับนาคได้แล้ว เบียดเบียนนาค ให้ห้อยหัวลง
มันจับนาคพาบินไปได้ตามความปรารถนา ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra yathāpi Garuḷo balī /
asaṅkhataṃ gavesanto dose vikkhālayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เหมือนพญาครุฑที่มีพลัง
แสวงหาอสังขตธรรม ได้ชำระโทษทั้งหลายแล้ว 
Diṭṭho ahaṃ dhammavaraṃ santipadam anuttaraṃ /
ādāya viharām’ etaṃ Garuḷo pannagaṃ yathā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๔] ข้าพระองค์ได้เห็นธรรมอันประเสริฐ
จึงยึดถือเอาสันติบท อันยอดเยี่ยมนี้อยู่
ดุจพญาครุฑจับนาคไป ฉะนั้น 
Āsāvatī nāma latā jātā cittalatāvane /
tassā vassasahassena ekaṃ nibbattate phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๕] เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดาแล้ว
ล่วงไป ๑,๐๐๐ ปี เถาวัลย์นั้นจึงจะเกิดผลผลหนึ่ง 
(042) Taṃ devā payirupāsanti tāva dūraphalaṃ satiṃ /
devānaṃ sā piyā evaṃ āsāvati latuttamā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๖] เทพทั้งหลาย เข้าไปนั่งเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้น
เมื่อกาลนานๆ จะมีผลสักคราว
เถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้นเป็นเถาวัลย์ชั้นสูงสุด
เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเทวดาอย่างนี้ 
Satasahassaṃ upādāya tāhaṃ paricare muniṃ /
sāyaṃpātaṃ namassāmi devā āsāvatiṃ yathā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๗] นับได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพระองค์จึงจะได้ปรนนิบัติพระมุนีนั้นนอบน้อมทั้งเช้าเย็น
ดุจเหล่าเทวดาได้เข้าไปเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีทั้งเช้าเย็น ฉะนั้น 
Avañjhā pāricariyā amoghā ca namassanā /
dūrāgatam pi maṃ santaṃ khaṇo maṃ na virādhayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๘] การปรนนิบัติ(พระพุทธเจ้า)ไม่เป็นหมัน(เปล่าประโยชน์)
และการนอบน้อมก็ไม่เปล่าประโยชน์
ถึงข้าพระองค์จะมาจากที่ไกล
ขณะ ก็มิได้ล่วงเลยข้าพระองค์ไป 
Paṭisandhiṃ na passāmi vicinanto bhave ahaṃ /
nirupadhi vippamutto upasanto carām’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๙] ข้าพระองค์ค้นหาการถือปฏิสนธิในภพก็ไม่เห็น
เพราะข้าพระองค์ไม่มีอุปธิ หลุดพ้นแล้ว(จากกิเลสทั้งปวง)
มีจิตสงบระงับเที่ยวไป 
Yathāpi padumaṃ nāma sūraraṃsena pupphati /
tath’ evāhaṃ mahāvīra buddharaṃsena pupphito. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๐] ธรรมดาดอกปทุมพอได้สัมผัสแสงดวงอาทิตย์
ก็แย้มบานทุกเมื่อ ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นบานแล้ว(คือสำเร็จมรรคผลนิพพาน)
เพราะรัศมีแห่งพระพุทธเจ้า 
Yathā balākayonimhi na vijjati pumā sadā /
meghesu gajjamānesu gabbhaṃ gaṇhanti tā sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๑] ในกำเนิดนกยาง ย่อมไม่มีนกยางตัวผู้ในกาลทุกเมื่อ
เมื่อเมฆฝนคำรน(เมื่อฟ้าร้อง)
นกยางตัวเมียจึงจะตั้งครรภ์ได้ ในกาลทั้งปวง 
Ciram pi gabbhaṃ dhārenti yāva megho na gajjati /
bhārato parimuccanti yadā megho pavassati. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๒] นกยางตัวเมียเหล่านั้นจะตั้งครรภ์อยู่นาน
ตราบเท่าที่เมฆฝนยังไม่คำราม
พวกมันจะพ้นจากภาระ(จะออกไข่)
ได้ก็ต่อเมื่อเมฆฝนตกลงมา ฉันใด 
Padumuttarabuddhassa dhammameghena gajjato /
saddena dhammameghassa dhammagabbhaṃ agaṇhi'haṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๓] ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงคำรนด้วยเมฆฝนคือพระธรรม
ก็ได้ตั้งครรภ์คือธรรม ด้วยเสียงแห่งเมฆฝนคือธรรม 
Satasahassaṃ upādāya puññagabbhaṃ dharem ahaṃ /
nappamuccāmi bhārato dhammamegho na gajjati. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๔] ใช้เวลาตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ จึงจะได้ตั้งครรภ์คือบุญ
ข้าพระองค์ยังไม่พ้นจากภาระ
ตราบเท่าที่เมฆฝนคือพระธรรมยังไม่คำรน 
Yadā tuvaṃ Sakyamuni ramme Kapilavatthave /
gajjasi dhammameghena bhārato parimucc' ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๕] ข้าแต่พระศากยมุนี พระองค์ทรงคำรน
ด้วยเมฆฝนคือพระธรรมในกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์ในกาลใด
ในกาลนั้นข้าพระองค์ก็จะพ้นจากภาระ 
Suññataṃ animittañ ca tathāpaṇihitam pi ca /
caturo ca phale sabbe dhamme 'va vijaṭāy' ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๖] ธรรมแม้นั้น คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์ และผล ๔ ทั้งปวง
ข้าพระองค์ก็ได้บรรลุแล้ว 
Dutiyabhāṇavāraṃ. 
ภาณวารที่ ๒ จบ 
Aparimeyy’ upādāya patthe*mi ta*va sāsanaṃ /
so me attho anuppatto santiṃ padam anuttaraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๗] ข้าพระองค์ปรารถนาคำสอนของพระองค์นานจนนับกัปไม่ได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว
ทั้งได้สันติบท อันยอดเยี่ยมตามลำดับ 
(043) Vinaye pāramiṃ patto yathā pi pāṭhiko isi /
na me samasamo atthi dhāremi sāsanaṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๘] ข้าพระองค์ถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นเหมือนภิกษุผู้แสวงคุณผู้มีชื่อเสียง
ไม่มีภิกษุรูปอื่นจะเสมอเหมือนข้าพระองค์
ข้าพระองค์ทรงจำคำสั่งสอนไว้ได้ 
Vinaye khandhake cāpi tikacchede 'va pañcake /
ettha me vimati n’ atthi akkhare vyañjane pi vā. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๙] ในวินัยปิฎกทั้งสิ้นนี้ คือ ในวินัย ในขันธกะ
ในปริจเฉท ๓ (คือ ในสังฆาทิเสส ๓ หมวด
และปาจิตตีย์ ๓ หมวด)
ในหมวดที่ ๕ 14 ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยอักขระ(คือสระ)
หรือแม้ในพยัญชนะเลย 
Niggahe paṭikamme ca ṭhānāṭhāne ca kovido /
osāraṇe vuṭṭhāpane sabbaṭṭha pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๐] ข้าพระองค์ฉลาดในวิธีข่ม ในการกระทำคืน
ในฐานะที่ควรและฐานะที่ไม่ควร
ในการเรียกภิกษุผู้ถูกลงโทษกลับเข้าหมู่
และในการช่วยให้ภิกษุออกจากอาบัติ
ถึงความสำเร็จในการกระทำทางวินัยกรรมทุกอย่าง 
Vinaye khandhake cāpi nikkhipitvā padaṃ ahaṃ /
ubhato viniveṭhetvā rasato osāreyy’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๑] ข้าพระองค์ตั้งบทไว้ในวินัยและขันธกะ และขยายอุภโตวิภังค์
เรียก(ภิกษุผู้ถูกลงโทษ)กลับเข้าหมู่โดยกิจ(หน้าที่) 
Niruttiyā ca kusalo atthānatthe ca kovido /
anaññātaṃ mayā n’ atthi ekaggo satthu sāsane. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๒] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในนิรุตติศาสตร์
และฉลาดในประโยชน์และสิ่งมิใช่ประโยชน์
สิ่งที่ข้าพระองค์ไม่รู้ไม่มี
ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศผู้หนึ่งในศาสนาของพระศาสดา 
Rūpadakkho ahaṃ ajja Sakyaputtassa sāsane /
kaṅkhaṃ sabbaṃ vinodemi chindāmi sabbasaṃsayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๓] ในวันนี้ ข้าพระองค์มองเห็นรูปคดี
บรรเทาความสงสัยได้ทุกอย่าง ในศาสนาของพระศากยบุตร
ตัดความลังเลได้หมดสิ้น 
Padaṃ anupadañ cāpi akkharañ cāpi vyañjanaṃ /
nidāne pariyosāne sabbattha kovido ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๔] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในฐานะทั้งปวง คือ บทหน้า
บทหลัง อักขระ พยัญชนะ คำเริ่มต้น และคำลงท้าย 
Yathāpi rājā balavā niggaṇhitvā paran tape /
vijinitvāna saṅgāmaṃ naṅgaraṃ tattha māpaye. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๕] เหมือนอย่างพระราชาผู้มีพลัง
ทรงจับไพร่พลของพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์
ให้เดือดร้อน ชนะสงครามแล้ว รับสั่งให้สร้างนครไว้ในที่นั้น 
Pākāraṃ parikhañ cāpi esikañ dvārakoṭṭhakaṃ /
aṭṭālake ca vividhe kāraye naṅgare bahū. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๖] พึงรับสั่งให้สร้างกำแพง รับสั่งให้ขุดคูรอบ ตั้งเสาระเนียด
สร้างซุ้มประตู สร้างป้อมต่างๆ ไว้ในนคร เป็นอันมาก 
Siṅghāṭakaṃ caccarañ ca suvibhattantarāpaṇaṃ /
kārayeyya sabhaṃ tattha atthānatthaṃ vinicchayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๗] พึงรับสั่งให้สร้างถนนสี่แยก ทางแยก
ร้านตลาด จัดสรรไว้เป็นอย่างดี
สร้างศาลสถิตยุติธรรมเป็นที่ตัดสินคดีความไว้ในนครนั้น 
Nigghāṭatthaṃ amittānaṃ chiddāchiddañ ca jānituṃ /
rakkhāya balakāyassa senāpaccam ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๘] เพื่อป้องกันอริราชศัตรู เพื่อจะรู้ช่องทาง(ดีร้าย)
เพื่อดูแลรักษากำลังพล พระราชาเจ้านครนั้น
จึงทรงแต่งตั้งแม่ทัพไว้ 
Ārakkhatthāya bhaṇḍassa nidhānakusalaṃ naraṃ /
‘mā me bhaṇḍaṃ vinassī’ ti bhaṇḍarakkhaṃ ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๙] เพื่อรักษาสิ่งของ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งคนที่ฉลาด
ในการเก็บรักษาสิ่งของ ให้เป็นผู้รักษาสิ่งของ
ด้วยตั้งพระทัยว่า สิ่งของของเราอย่าเสียหายไปเลย 
Māmako hoti yo rañño vuddhiṃ yassa ca icchati /
tassādhikaraṇaṃ deti mittassa paṭipajjituṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๐] ผู้ใดสมัครสมานกับพระราชา
และปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองแก่พระราชา
พระราชาย่อมมอบหน้าที่แก่ผู้นั้น
เพื่อปฏิบัติตอบแทนต่อมิตร 
Uppādesu nimittesu lakkhaṇesu ca kovidaṃ /
ajjhāyakaṃ mantadharaṃ porohicce ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๑] พระราชาพระองค์นั้น ย่อมทรงแต่งตั้งผู้ที่ฉลาดในลางบอกเหตุ
ในนิมิตและในลักษณะ
ผู้คงแก่เรียน ผู้ทรงมนตร์ ไว้ในตำแหน่งปุโรหิต 
(044) Eteh’ aṅgehi sampanno khattiyo ti pavuccati /
sadā rakkhanti rājānaṃ cakkavāko va dukkhitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๒] พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้
พสกนิกรจึงขนานพระนามว่ากษัตริย์
เหล่าอำมาตย์จึงถวายการอารักขาพระราชาทุกเมื่อ
ดุจนกจักรพากเฝ้ารักษานกผู้ประสบทุกข์ 
Tath’ eva tvaṃ mahāvīra hatāmitto va khattiyo /
sadevakassa lokassa dhammarājā ti vuccati. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เป็นดุจกษัตริย์ ผู้ขจัดข้าศึกศัตรูได้แล้ว
ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงขนานพระนามว่าธรรมราชา 
Titthiye nihanitvāna Mārañ cāpi sasenakaṃ /
tam andhakāraṃ vidhamitvā dhammanaṅgaraṃ amāpayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๔] พระองค์ทรงปราบเหล่าเดียรถีย์
ทรงกำจัดมารพร้อมทั้งเสนามาร
ทรงขจัดความมืดมนอนธการแล้ว ได้ทรงสร้างนครคือพระธรรมไว้ 
Sīlaṃ pākārikaṃ tattha ñāṇan te dvārakoṭṭhakaṃ /
saddhā te esikā dhīra dvārapālo 'va saṃvaro. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ในนครคือพระธรรมนั้น
พระองค์มีศีลเป็นปราการ มีพระญาณเป็นซุ้มประตู
มีศรัทธาเป็นเสาระเนียด และมีความสังวรเป็นนายประตู 
Satipaṭṭhānam aṭṭālaṃ paññā te caccaraṃ mune /
iddhipādañ ca siṅghāṭaṃ dhammavīthiṃ sumāpitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๖] ข้าแต่พระมุนี พระองค์มีสติปัฏฐานเป็นป้อม
มีพระปัญญาเป็นชุมทาง
มีอิทธิบาทเป็นถนนสี่แยก
ธรรมวิถี พระองค์ก็ทรงสร้างไว้ดีแล้ว 
Suttantaṃ Abhidhammañ ca Vinayañ cāpi kevalaṃ /
navaṅgabuddhavacanaṃ ettha dhammasabhā tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๗] พระองค์มีพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
และพระพุทธพจน์มีองค์ ๙ แม้ทั้งมวล
นี้เป็นธรรมสภา 
Suññatam animittañ ca *vihārañ cāppanīhitaṃ /
anejañ ca* nirodho ca esā dhammakuṭi tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๘] พระองค์มีสุญญตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่อันว่าง)
อนิมิตตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีนิมิต)
อัปปณิหิตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีความตั้งปรารถนา)
อาเนญชวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่หวั่นไหว)
นิโรธวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่คือความดับ) นี้เป็นธรรมกุฎี 
Paññāya aggo nikkhitto paṭibhāne ca kovido /
Sāriputto ti nāmena dhammasenāpatī tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๙] พระเถระผู้เลิศด้วยปัญญา ที่ทรงแต่งตั้งไว้
ฉลาดในปฏิภาณ มีนามว่าสารีบุตร
เป็นจอมทัพธรรมของพระองค์ 
Cutūpapātakusalo iddhiyā pāramiṅgato /
Kolito nāma nāmena po*rohicco tava mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๐] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ฉลาดในจุติและปฏิสนธิ
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ มีนามว่าโกลิตะ (โมคคัลลานะ)
เป็นปุโรหิตของพระองค์ 
Po*rāṇakavaṃsadharo uggatejo durāsado /
dhūtavādiguṇen’ aggo akkhadasso tavaṃ mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๑] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ดำรงวงศ์เก่าแก่
มีเดชแผ่ไป หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เป็นผู้เลิศด้วยธุดงค์คุณ(มีนามว่ากัสสปะ)เป็นผู้พิพากษาของพระองค์ 
Bahussuto dhammadharo sabbapāṭhī ca sāsane /
Ānando nāma nāmena dhammārakkho tavaṃ mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๒] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สวดสาธยายทุกรูป๓- ในศาสนา
มีนามว่าอานนท์ เป็นผู้รักษาธรรมของพระองค์ 
Ete sabbe atikkamma pihesi bhagavā mamaṃ /
vinicchayam me pādāsi vinaye viññūdesitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๓] พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงละพระเถระเหล่านี้ทุกรูป
ทรงมุ่งเฉพาะข้าพระองค์ แล้วทรงประทานการวินิจฉัยวินัย
ซึ่งบัณฑิตผู้รู้แสดงไว้แล้วแก่ข้าพระองค์ 
Yo koci vinaye pañhaṃ pucchati buddhasāvako /
tattha me cintanā n’ atthi tañ yev’ atthaṃ kathem’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๔] สาวกของพระพุทธองค์ บางรูปไต่ถามปัญหาในวินัย
ในปัญหาที่ถามมานั้น ข้าพระองค์ไม่ต้องคิด(ลังเล)
ย่อมอธิบายปัญหานั้นได้เลย 
Yāvatā buddhakhettamhi ṭhapetvā taṃ mabāmuni /
vinaye mādiso n’ atthi, kuto bhiyyo bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๕] ข้าแต่พระมหามุนีตลอดพุทธเขต ยกเว้นพระองค์
ในพระวินัยไม่มีใครผู้เช่นกับข้าพระองค์
ผู้ที่ยิ่งกว่าจักมีแต่ที่ไหน 
(045) Bhikkhusaṅghe nisīditvā evaṃ gajjati Gotamo: /
Upālissa samo n’ atthi Vinaye Khandhakesu ca // ApTha_1,6. // 
[๕๔๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดม ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว
บันลืออย่างนี้ว่า ผู้เสมอกับอุบาลีในพระวินัย
และในขันธกะ(คือในมหาวรรค จูฬวรรคและปริวาร)ไม่มี 
Yāvatā Buddhabhaṇitaṃ navaṅgaṃ Satthusāsanaṃ /
vinayogadhitaṃ sabbaṃ vinayamūlapassino. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๗] สำหรับท่านผู้เห็นพระวินัยเป็นหลักสำคัญ
นวังคสัตถุศาสตร์ เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทั้งหมดพระศาสดาตรัสไว้ในวินัย 
Mama kammaṃ saritvāna Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā etadagge ṭhapesi maṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๘] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพระองค์
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพระองค์ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ 
Satasahass’ upādāya imaṃ ṭhānaṃ apatthayiṃ /
so me attho anuppatto vinaye pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๙] ข้าพระองค์ได้ปรารถนาตำแหน่งนี้นานนับได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว ถึงความสำเร็จในวินัย 
Sakyānaṃ nandijanano kappako ās’ ahaṃ pure /
vijahitvāna taṃ jātiṃ putto jāto mahesino. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๐] เมื่อก่อน ข้าพระองค์เป็นช่างกัลบก (ช่างตัดผม)
เป็นผู้ทำให้เจ้าศากยะทั้งหลายเกิดความเพลิดเพลิน
ได้ละชาติกำเนิดนั้นแล้วมาเป็นบุตร
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ 
Ito dutiyake kappe Ajaso nāma khattiyo /
anantatejo amitayaso bhūmipālo mahaddhano. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๑] ในกัปที่ ๒ นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้มีกษัตริย์พระนามว่าอัญชสะ
ทรงเดชานุภาพหาที่สุดมิได้
ทรงยศหาประมาณมิได้
เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์มาก 
Tassa rañño ahaṃ putto Candano nāma khattiyo /
jātimaden’ upatthaddho yasabhogamadena ca // ApTha_1,6. // 
[๕๕๒] ข้าพระองค์ได้เป็นขัตติยกุมารมีนามว่าจันทนะ
เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น
เป็นคนมีกิริยาแข็งกระด้าง
เพราะความมัวเมาในชาติตระกูล ในยศ และในโภคะ 
Nāgasatasahassāni sabbālaṅkārabhūsitā /
tidhapabhinnā mātaṅgā parivārenti maṃ sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๓] ช้างตระกูลมาตังคะ ๑๐๐,๐๐๐ เชือก
ตกมัน ๓ แห่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง
แวดล้อมข้าพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Sabalehi pareto haṃ uyyānaṃ gantukāmako /
āruyha Sirikaṃ nāgaṃ naṅgarā nikkhamiṃ tadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๔] ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีกำลังพลของตนห้อมล้อม
ต้องการจะประพาสอุทยาน
จึงทรงช้างชื่อสิริกะออกจากนครไป 
Caraṇena ca sampanno *guttadvāre*susaṃvuto /
Devalo nāma sambuddho āgacchi purato mamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๕] พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเทวละ
ผู้เพียบพร้อมด้วยจรณะ คุ้มครองทวาร
สำรวมด้วยดี เสด็จมาข้างหน้าของข้าพระองค์ 
Pesetvā Sirikaṃ nāgaṃ Buddhaṃ āsādayiṃ tadā /
tato sañjātakopo so nāgo nuddharate padaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๖] ครั้งนั้น ข้าพระองค์ได้ไสช้างสิริกะไป
จะให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
เพราะเหตุนั้น ช้างนั้นเหมือนเกิดความโกรธยกเท้าไม่ขึ้น 
Nāgaṃ duṭṭhamanaṃ disvā Buddhe kopaṃ akās’ ahaṃ /
vihesayitvā sambuddhaṃ uyyānaṃ a*gamās’ ahaṃ.* // ApTha_1,6. // 
[๕๕๗] ข้าพระองค์เห็นช้างเสียใจ จึงโกรธพระพุทธเจ้า
เบียดเบียนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ไปอุทยาน 
Sātaṃ tattha na vindāmi; siro pajjalito yathā /
parilāhena ḍayhāmi maccho va baḷisādako. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๘] เพราะการจะให้ช้างทำร้ายนั้นเป็นเหตุ
ข้าพระองค์จึงมิได้ประสบความสำราญ
ศีรษะเป็นเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่
ข้าพระองค์ถูกความเร่าร้อนเผาไหม้อยู่ เหมือนปลาติดเบ็ด 
(046) Sasāgarantā pathavī ādittā viya hoti me /
pitu santik’ upāgamma idaṃ vacanam abraviṃ: // ApTha_1,6. // 
[๕๕๙] แผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครเป็นที่สุด
ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์เป็นดุจไฟลุกท่วม
ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระราชบิดาแล้วกราบทูลคำนี้ว่า 
Āsīvisaṃ va kupitaṃ aggikkhandham va āgataṃ /
mattaṃ va kuñjaraṃ* dantiṃ yaṃ sayambhuṃ* asādayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๐] หม่อมฉันได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นพระสยัมภูพระองค์ใด
ผู้เป็นดังอสรพิษที่ถูกทำให้โกรธ
ดังกองไฟที่ลามมา ดังช้างพลายตัวตกมัน 
Āsādito mayā Buddho ghoro uggatapo jino /
purā sabbe vinassāma khamāpessāma taṃ muniṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๑] พระพุทธชินเจ้า ผู้มีตบะแก่กล้า ถูกข้าพระองค์รุกราน
พวกเราชาวเมืองทั้งปวงจักพินาศ
พวกเราจักขอขมาพระมุนีนั้น 
No ce taṃ nijjhapessāma attadantaṃ samāhitaṃ /
orena sattame divase raṭṭhaṃ me vidhamissati. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๒] หากพวกเราจักไม่ขอขมาพระองค์(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้มีจิตตั้งมั่น
แว่นแคว้นของเราจักพินาศภายในวันที่ ๗ 
S*umekhalo Kosiyo* ca Siggavo cāpi Sattuko /
āsādayitvā isayo duggatā te sasenakā. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๓] พระเจ้าสุเมขลราช พระเจ้าโกสิยราช
พระเจ้าสิคควราช พระเจ้าสัตตกราชเหล่านั้นพร้อมเสนา
ได้รุกรานท่านฤๅษีทั้งหลายแล้ว ได้ถึงความทุกข์ยาก 
Yadā kuppanti isayo saññatā brahmacāriyo /
sadevakaṃ vināsenti sasāgaraṃ sapabbataṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๔] ท่านฤๅษีทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว
ประพฤติประเสริฐ ย่อมโกรธในกาลใด
ในกาลนั้นย่อมทำมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ท้องทะเล และภูเขา ให้พินาศไป 
Tiyojanasahassamhi purise sanni*pātayiṃ /
accayaṃ desana*tthāya sayambhuṃ upasaṅkamiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๕] ข้าพระองค์จึงสั่งให้ประชาชนมาประชุมกันในพื้นที่
ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ เพื่อต้องการจะแสดงโทษ
จึงเข้าไปหาพระสยัมภูพุทธเจ้า 
Allavatthā allasirā sabbe 'va p’ añjalīkatā /
Buddhassa pāde nipatitvā idaṃ vacanam abravuṃ: // ApTha_1,6. // 
[๕๖๖] ประชาชน(พร้อมทั้งข้าพระองค์)ทั้งหมด
มีผ้าเปียก ศีรษะเปียก ประนมมือ
พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระสยัมภูพุทธเจ้า
แล้วได้กราบเรียนคำนี้ว่า 
‘Khamassu tvaṃ mahāvīra '; abhiyācati taṃ jano /
pariḷāhaṃ vinodehi; mā ca raṭṭhaṃ vināsāya. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๗] ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ขอพระคุณเจ้าโปรดยกโทษเถิด
ประชาชนอ้อนวอนพระคุณเจ้า
ขอพระคุณเจ้าโปรดช่วยบรรเทาความเร่าร้อน
และขอพระคุณเจ้าอย่าได้ทำแว่นแคว้นให้พินาศเลย 
Sadevā manussā sabbe sadānavā*sarakkhasā /
ayo*mayena kūṭena siraṃ bhiñjeyyuṃ me sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๘] มวลมนุษย์พร้อมทั้งเทวดา ทานพ และรากษส15
จะพึงเอาฆ้อนเหล็กทุบศีรษะของข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อ 
Udake aggi na saṇṭhāti bījaṃ selena rūhati /
agade kimi na saṇṭhāti kopo Buddhe na jāyati. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๙] (พระพุทธเจ้าตรัสว่า)
ไฟย่อมไม่เกิดในน้ำ พืชย่อมไม่งอกบนแผ่นหิน
กิมิชาต16 ิ ย่อมไม่เกิดในยาพิษ ฉันใด
ความโกรธย่อมไม่เกิดในพระพุทธเจ้า ฉันนั้น 
Yathāpi bhūmi acalā appameyyo ca sāgaro /
anantako ca ākāso evaṃ Buddho *akhobhiyo.* // ApTha_1,6. // 
[๕๗๐] แผ่นดินไม่หวั่นไหว ฉันใด
พระพุทธเจ้าใครๆ ก็ให้กำเริบไม่ได้ ฉันนั้น
ทะเลประมาณมิได้ ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณประมาณมิได้ ฉันนั้น
และอากาศไม่มีที่สุด ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณไม่มีที่สุด ฉันนั้น 
Sadā khantā mahāvīra khamitā ca tapassino /
khantānaṃ khamitānañ ca gamanaṃ vo na vijjati.’ // ApTha_1,6. // 
[๕๗๑] พระพุทธเจ้าทั้งหลายฝึกฝนตนแล้ว
มีความเพียรมาก มีการงดโทษให้แก่ผู้อื่นและมีตบะ
ท่านผู้มีความอดทนและมีการอดโทษให้ แก่ผู้อื่น
จะไม่มีการลุอำนาจอคติ 
Idaṃ vatvāna sambuddho pariḷāhaṃ vinodayi /
mahājanassa purato nabhaṃ abbhuggamī tadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นกล่าวดังนี้แล้วได้บรรเทาความเร่าร้อน
เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าต่อหน้ามหาชน ในครั้งนั้น 
(047) Tena *kammen’ a*haṃ dhīra hīnattaṃ ajjhupāgato /
samatikkamma taṃ jātiṃ pāvisiṃ abhayaṃ puraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร
เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์จึงได้เข้าถึงภาวะที่เลวทราม
ล่วงเลยชาตินั้นมาเข้าสู่นคร(คือนิพพาน)ซึ่งไม่มีภัย 
Tadāpi maṃ mahāvīra ḍayhamānaṃ susaṇṭhitaṃ /
pariḷāhaṃ vinodesi sayambhuñ ca khamāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในครั้งนั้น
พระสยัมภูพุทธเจ้าเห็นข้าพระองค์ถูกไฟแผดเผาอยู่
(แต่)ดำรงอยู่ด้วยดี จึงทรงบรรเทาความเร่าร้อนให้
ข้าพเจ้าจึงทูลขอพระสยัมภูงดโทษให้ 
Ajjāpi maṃ mahāvīra ḍayhamānaṃ *tīh aggi*hi /
nibbāpesi tayo aggī sītibhāvañ ca pāpayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในวันนี้
พระผู้มีพระภาคทรงช่วยข้าพระองค์ผู้ถูกไฟ ๓ กอง แผดเผาอยู่
ให้ถึงภาวะสงบเย็น และทรงช่วยดับไฟ ๓ กองให้แล้ว 
Yesaṃ sotāvadhān’ atthi suṇotha mama bhāsato: /
atthaṃ tuyhaṃ pavakkhāmi yathā diṭṭhapadaṃ mamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๖] ขอให้ท่านทั้งหลายผู้เงี่ยโสตสดับ จงตั้งใจฟังข้าพเจ้ากล่าว
ข้าพเจ้าจะบอกประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย
โดยประการที่ข้าพเจ้าได้เห็นบท แล้ว 
{Sayambhuṃ} taṃ vimānetvā santacittaṃ samāhitaṃ /
tena kammen’ a*haṃ ajja jāto 'mhi nīcayoniyam // ApTha_1,6. // 
[๕๗๗] ข้าพเจ้าดูหมิ่นพระสยัมภูพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น
เพราะกรรมนั้น ในปัจจุบันนี้
จึงมาเกิดในชาติตระกูลต่ำ 
Mā vo khaṇaṃ virādhetha khaṇātītā hi socare. /
Sadatthe vāyameyyātha khaṇo vo paṭipādito. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๘] ท่านทั้งหลายอย่าได้พลาดขณะ ไปเลย
เพราะเหล่าสัตว์ผู้ล่วงเลยขณะไปย่อมเศร้าโศก
ขอท่านทั้งหลายพึงพยายามในประโยชน์ตนเถิด
ขณะท่านทั้งหลายให้สำเร็จแล้ว 
Ekaccāna ca vamanaṃ ekaccānañ ca virecanaṃ /
visaṃ haḷāhaḷaṃ ete ekaccānañ ca osadhaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลบางพวก
ยาถ่ายแก่บุคคลบางพวก ยาพิษร้ายแรงแก่บุคคลบางพวก
และยารักษาแก่บุคคลบางพวก 
Vamanaṃ paṭipannānaṃ phalaṭṭhānaṃ virecanaṃ /
osadhaṃ phalalābhīnaṃ puññakkhettaṃ gavesinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๐] คือพระผู้มีพระภาค ตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ
ตรัสบอกยาถ่ายแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในผล
ตรัสบอกยารักษาโรคแก่บุคคลผู้ได้ผลแล้ว
ตรัสบอกบุญเขตแก่บุคคลผู้แสวงบุญ 
Sāsanena viruddhānaṃ visaṃ haḷāhaḷaṃ yathā /
āsīviso daṭṭhaviso evaṃ jhāpeti taṃ naraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๑] ตรัสบอกยาพิษร้ายแรง(คือบาปอกุศล)
แก่บุคคลผู้เป็นข้าศึกต่อศาสนา
ยาพิษร้ายแรงย่อมแผดเผานรชนนั้น
เหมือนอสรพิษร้าย ฉะนั้น 
Sakiṃ pi taṃ haḷāhaḷaṃ uparundhati jīvitaṃ /
sāsanena virujjhitvā kappakoṭim hi ḍayhati. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๒] ยาพิษร้ายแรงที่บุคคลดื่มแล้วเพียงครั้งเดียว
ก็ย่อมทำให้เสียชีวิตได้ บุคคลทำผิดต่อศาสนาแล้ว
ย่อมถูกแผดเผานับเป็นโกฏิกัป 
Khantiyā avihiṃsāya mettacittavatāya ca /
sadevakaṃ so tarati tasmā vo avirodhiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๓] พระองค์ทรงช่วยสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามพ้น(สังสารวัฏ)
ด้วยขันติ ด้วยความไม่เบียดเบียน
และด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้ 
Lābhālābhe na sajjanti sammānane vimānane /
paṭhavī sadisā Buddhā tasmā te n’ avirodhiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๔] พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นเช่นพื้นปฐพี
ไม่ทรงติดข้องในลาภ ในความเสื่อมลาภ
ในความสรรเสริญ ในความถูกดูหมิ่น
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้ 
Devadatte ca vadhake core Aṅgulimālake /
Dhanapāle Rāhule ca sabbesaṃ samako muni. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๕] พระมุนีทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในสัตว์ทั้งปวง คือ ในพระเทวทัต
นายขมังธนู โจรองคุลีมาล พระราหุล และช้างธนบาล 
(048) Etesaṃ paṭighaṃ n’ atthi, rāgo 'mesaṃ na vijjati /
sabbesaṃ samako buddho *vadhakass orasassa ca.* // ApTha_1,6. // 
[๕๘๖] พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่มีความแค้นเคือง ไม่มีความกำหนัด
เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในชนทั้งหมด
คือในนายขมังธนู และในพระโอรส 
Panthe disvāna kāsāvaṃ chaḍḍitaṃ mīḷhamakkhitaṃ /
sirasā añjaliṃ katvā vanditabbaṃ isiddhajaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๗] ท่านทั้งหลายได้พบผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระฤๅษี
ซึ่งเปื้อนคูถ ถูกทิ้งไว้ที่หนทาง
ก็พึงประนมมือเหนือศีรษะแล้วไหว้เถิด 
Abbhātītā ca 'me Buddhā vattamānā anāgatā /
dhajenānena sujjhanti tasmā ete namassiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๘] พระพุทธเจ้าเหล่าใดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยธงชัยนี้
เพราะเหตุนั้น จึงควรนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้น 
Satthukappaṃ suvinayaṃ dhāremi hadayen’ ahaṃ /
namassamāno vinayaṃ viharissāmi sabbadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๙] ข้าพเจ้าทรงจำวินัยที่ดีงาม
เช่นกับองค์แทนพระศาสดาไว้ด้วยหทัย
ข้าพเจ้านมัสการวินัยอยู่ในกาลทั้งปวง 
Vinayo āsayaṃ mayhaṃ vinayo ṭhānacaṅkamaṃ /
kappemi vinaye vāsaṃ vinayo mayhaṃ gocaro. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๐] วินัยเป็นที่อาศัยของข้าพเจ้า เป็นที่ยืนเดินของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสำเร็จการอยู่ในวินัย วินัยเป็นอารมณ์ของข้าพเจ้า 
Vinaye pāramippatto samathe cāpi kovido /
Upāli taṃ mahāvīra pāde vandati satthuno. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ภิกษุชื่ออุบาลีถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นผู้ฉลาดในวิธีระงับอธิกรณ์
ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา 
So ahaṃ vicarissāmi gāmāgāmaṃ purāpuraṃ /
namassamāno sambuddhaṃ dhammassa ca sudhammataṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๒] ข้าพเจ้านั้น เที่ยวไปจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง
นมัสการอยู่ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมซึ่งเป็นธรรมดี 
Kilesā jhāpitā mayhaṃ bhavā sabbe samūhatā /
sabbāsavā parikkhīṇā n’ atthi dāni punabbhavo // ApTha_1,6. // 
[๕๙๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าถอนได้แล้ว
อาสวะทั้งปวงก็สิ้นไปแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก 
Sāgataṃ vata me āsi buddhaseṭṭhassa santike /
tisso vijjā anuppattā kataṃ buddhassa sāsanaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๔] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca atth’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Upālithero imā gāthāyo abhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Upālittherassa apadānaṃ samattaṃ. 
อุปาลิเถราปทานที่ ๖ จบ 
7. {Aññākoṇḍañña}. 
๗. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ (พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Padumuttarasambuddhaṃ lokajeṭṭhaṃ vināyakaṃ /
Buddhabhūmiṃ anuppattaṃ paṭhamaṃ addasam ahaṃ. // ApTha_1,7. // 
[๕๙๖] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้ทรงเป็นผู้นำโดยวิเศษ
ผู้ถึงพุทธภูมิแล้ว เป็นครั้งแรก 
Yāvatā bodhiyā mule yakkhā sabbe samāgatā /
Sambuddhaṃ parivāretvā vandanti pañjalīkatā. // ApTha_1,7. // 
[๕๙๗] ยักษ์จำนวนเท่าที่มีทั้งหมด มาประชุมที่ต้นโพธิ์
ประนมมือไหว้แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
(049) Sabbe devā tuṭṭhamanā ākāse sañcaranti te /
buddho ayaṃ anuppatto andhakāratamonudo. // ApTha_1,7. // 
[๕๙๘] เทวดาทั้งหมดนั้นมีใจยินดีเที่ยวไปในอากาศ
ป่าวประกาศว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นี้
ทรงบรรเทาความมืดมนอนธการ
บรรลุ(อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ) 
Tesaṃ hāsaparetānaṃ mahānādo pavattatha /
kilese jhāpayissāma sammāsambuddhasāsane. // ApTha_1,7. // 
[๕๙๙] เทวดาเหล่านั้นมีความร่าเริง ป่าวประกาศบันลือลั่นไปว่า
พวกเราจักเผากิเลสทั้งหลายให้ได้
ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
Devānaṃ giram aññāya vācāsabhiṃ udīritaṃ /
haṭṭho haṭṭhena cittena ādibhikkham adās’ ahaṃ. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๐] ข้าพเจ้ารู้จากคำพูดของเหล่าเทวดาที่เปล่งออกมาด้วยวาจา
แล้วมีจิตร่าเริง เบิกบาน ได้ถวายภิกษาครั้งแรก 
Mamaṃ saṅkappam aññāya satthā loke anuttaro /
devasaṅghe nisīditvā imā gāthā abhāsatha: // ApTha_1,7. // 
[๖๐๑] พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่เทวดา ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
‘Sattāhaṃ abhinikkhamma bodhim ajjhāgamam ahaṃ /
idaṃ me paṭhamaṃ bhattaṃ brahmacārissa yāpanaṃ. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๒] เราออกบวชได้ ๗ วันแล้ว จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ
ภัตตาหารที่ถวายเป็นครั้งแรกนี้
เป็นสิ่งที่ช่วยอัตภาพของเราผู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้เป็นไปได้ 
Tusitāhi idhāgantvā yo me bhikkham upānayi /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇotha mama bhāsato: // ApTha_1,7. // 
[๖๐๓] เราจักพยากรณ์เทพบุตรที่จากสวรรค์ชั้นดุสิตมาในที่นี้
น้อมภิกษาหารเข้ามาถวายแก่เรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
Tiṃsakappasahassena devarajjaṃ karissati /
sabbe deve atibhotvā Tidivaṃ āvasissati. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๔] เทพบุตรนั้นจักครองเทวสมบัติประมาณ ๓๐,๐๐๐ กัป
ครองสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ ปกครองเทวดาทั้งปวง 
Devalokā cavitvāna manussattaṃ gamissati /
sahassaṃ va cakkavatti tattha rajjaṃ karissati. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๕] ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว
จักไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ครองราชสมบัติในโลกมนุษย์นั้น ๑,๐๐๐ ชาติ 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tidasā so cavitvāna manussattaṃ gamissati /
agārā pabbajitvāna chabbassāni vasissati. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๗] เทพบุตรนั้น ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว
ไปเกิดเป็นมนุษย์ ออกบวชปฏิบัติอยู่ ๖ ปี 
Tato sattamake vasse Buddho saccaṃ kathessati /
Koṇḍañño nāma nāmena paṭhamaṃ sacchikāhiti.’ // ApTha_1,7. // 
[๖๐๘] ในปีที่ ๗ พระพุทธเจ้าจักทรงประกาศสัจจะ
ภิกษุมีนามว่าโกณฑัญญะ ทำให้แจ้งเป็นองค์แรก 
Nikkhantenānupabbajjaṃ padhānaṃ sukataṃ mayā /
kilese13 *jhāpanatthāya pabbaj*iṃ anagāriyaṃ. // ApTha_1,7. // 
[๖๐๙] พระโพธิสัตว์ออกผนวช
ข้าพเจ้าก็ออกบวชตามบำเพ็ญความเพียรอย่างดี
ข้าพเจ้าบวชเป็นบรรพชิต เพื่อต้องการจะเผากิเลสทั้งหลาย 
Abhigantvāna sabbaññū buddho loke sadevake /
iminā me migāraññe amataṃ bherim āhani. // ApTha_1,7. // 
[๖๑๐] พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้สิ่งทั้งปวง ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ได้เสด็จไปยังป่าใหญ่
ทรงลั่นอมตเภรี ด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ
ที่ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้วนี้ 
So dāni patto amataṃ santaṃ padam anuttaraṃ /
sabbāsave pariññāya viharāmi anāsavo. // ApTha_1,7. // 
[๖๑๑] บัดนี้ ข้าพเจ้านั้นได้บรรลุอมตบท สงบ ยอดเยี่ยม
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
(050) Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,7. // 
[๖๑๒] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā {Aññākoṇḍañño} thero imā gāthāyo abhāsitthā ti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Aññākoṇḍaññatherassa apadānaṃ samattaṃ. 
อัญญาโกณฑัญญเถราปทานที่ ๗ จบ 
8. Piṇḍola-Bhāradvāja. 
๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระปิณโฑลภารทวาชเถระ (พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Padumuttaro nāma jino sayambhū aggapuggalo /
purato Himavantassa Cittakūṭe vasī tadā. // ApTha_1,8. // 
[๖๑๓] ครั้งนั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ
ประทับอยู่บนภูเขาจิตรกูฏ เบื้องหน้าภูเขาหิมพานต์ 
Abhītarūpo tatthāsiṃ migarājā catukkamo /
yassa saddaṃ suṇitvāna vikkhambhanti bahū janā. // ApTha_1,8. // 
[๖๑๔] ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพญาเนื้อ ไม่มีความกลัวเกรง
สามารถวิ่งไปได้ทั้ง ๔ ทิศ อยู่ ณ ที่นั้น
ซึ่งสัตว์จำนวนมากได้ฟังเสียงแล้วย่อมครั่นคร้าม 
Suphullam padumaṃ gayha upagañchiṃ narāsabhaṃ /
vuṭṭhitassa samādhimhā Buddhassa abhiropayiṃ. // ApTha_1,8. // 
[๖๑๕] ข้าพเจ้าได้คาบดอกปทุมที่บานดีแล้ว
เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
ได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้เสด็จออกจากสมาธิ 
Catuddisaṃ namassitvā Buddhaseṭṭhaṃ naruttamaṃ /
sakaṃ cittaṃ pasādetvā sīhanādam adās’ ahaṃ. // ApTha_1,8. // 
[๖๑๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้นมัสการพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐที่สุด ผู้สูงสุดแห่งนรชน ในทิศทั้ง ๔
ทำจิตของตนให้เลื่อมใส ได้บันลือสีหนาท 
Padumuttaro lokavidū āhutīnaṃ paṭiggaho /
sakāsane nisīditvā imā gāthā abhāsatha: // ApTha_1,8. // 
[๖๑๗] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
Buddhassa giram aññāya sabbe devā samāgatā /
āgato vadataṃ seṭṭho dhammaṃ sossāma taṃ mayaṃ. // ApTha_1,8. // 
[๖๑๘] เทวดาทั้งปวง พอทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็มาประชุมกันด้วยคิดว่า
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเสด็จมาแล้ว
พวกเราจักฟังธรรมของพระองค์ 
Tesaṃ hāsaparetānaṃ purato lokanāyako /
mama saddaṃ pakittesi Dīghadassī mahāmuni: // ApTha_1,8. // 
[๖๑๙] พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระมหามุนี
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงเห็นกาลไกล
ทรงประกาศเสียงของข้าพเจ้าข้างหน้าของเทวดา
และมนุษย์เหล่านั้นผู้มีความร่าเริงว่า 
‘Yen’ idaṃ padumaṃ dinnaṃ sīhanādo ca nādito /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇotha mama bhāsato: // ApTha_1,8. // 
[๖๒๐] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายดอกปทุมนี้และได้บันลือสีหนาท
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
Ito aṭṭhamake kappe cakkavatti bhavissati /
sattaratanasampanno cātuddīpamhi issaro. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๑] ในกัปที่ ๘ นับจากกัปนี้ไป
ผู้นั้นจักเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ 
Kārayissati issaraṃ mahiyā catusaṭṭhiyā /
Padumo nāma nāmena cakkavatti mahābalo. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๒] จักครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินถึง ๖๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าปทุม ตามโคตร
มีพลานุภาพมาก 
(051) Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Pakāsite pāvacane brahmabandhu bhavissati /
brahmaññā abhinikkhamma pabbajissati tāvade. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมพระองค์นั้น
ทรงประกาศธรรมวินัย ผู้นี้จักเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์
ออกจากตระกูลพราหมณ์แล้วบวชในขณะนั้น 
Padhānapahitatto so upasanto nirūpadhi /
sabbāsave pariññāya nibbāyissat’ anāsavo. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๕] เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน 
Vipine pantaseyyamhi vāḷamigasamākule /
sabbāsave pariññāya nibbāyissat’ anāsavo.’ // ApTha_1,8. // 
[๖๒๖] ณ เสนาสนะที่สงัด เว้นจากผู้คน พลุกพล่านด้วยเนื้อร้าย
เขากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,8. // 
[๖๒๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudan āyasmā Piṇḍola-Bhāradvājo thero imā gāthāyo abhāsitthā ti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วประการฉะนี้ 
Piṇḍola-Bhāradvājatherassa apadānaṃ samattaṃ. 
ปิณโฑลภารทวาชเถราปทานที่ ๘ จบ 
9. Khadiravaniya Revata. 
๙. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระขทิรวนิยเรวตเถระ (พระขทิรวนิยเรวตเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Gaṅgā Bhāgīrasī nāma Himavantā pabhāvitā /
kutitthe nāviko āsiṃ orime ca tariṃ ahaṃ. // ApTha_1,9. // 
[๖๒๘] แม่น้ำภาคีรถี ไหลมาจากภูเขาหิมพานต์
ข้าพเจ้าเกิดเป็นนายเรือ อยู่ที่ท่าน้ำไม่ราบเรียบ
พาคนส่งข้ามฟากจากฝั่งโน้นมาฝั่งนี้ 
Padumuttaranāyako sambuddho dīpaduttamo /
vasīsatasahassehi Gaṅgāsotaṃ tarissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๒๙] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงเป็นผู้นำ ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พร้อมกับพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
ผู้ได้วสี จักข้ามกระแสแม่น้ำคงคา 
Bahū nāvā samānetvā vaḍḍhakīhi susaṅkhataṃ /
nāvāya chadanaṃ katvā paṭimānin narāsabhaṃ. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๐] ข้าพเจ้าได้นำเรือมาจอดรวมกันไว้จำนวนมาก
แล้วจัดประทุนที่นายช่างประกอบอย่างดีไว้บนเรือ
ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน 
Āgantvāna ca sambuddho ā*ruhi nāvalañcakaṃ /
vārimajjhe ṭhi*to satthā imā gāthā abhāsatha: // ApTha_1,9. // 
[๖๓๑] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ศาสดาได้เสด็จมาขึ้นเรือนั้นแล้ว
ประทับอยู่ท่ามกลางน้ำ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
‘Yo so tāresi sambuddhaṃ saṅghaṃ cāpi anāsavaṃ /
tena cittappasādena devaloke ramissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๒] นายเรือที่ได้พาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะส่งข้ามฟาก
จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น 
Nibbattissati te vyamhaṃ sukataṃ nāvasaṇṭhitaṃ /
ākāse pupphachadanaṃ dhārayissati sabbadā. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๓] วิมานที่บุญกรรมตกแต่งไว้อย่างดี
มีสัณฐานดุจเรือ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน
จักมีหลังคาดอกไม้กั้นอยู่ในอากาศทุกเมื่อ 
Aṭṭhapaññāsakappamhi Tāraṇo nāma khattiyo /
cāturanto vijitāvī cakkavatti bhavissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๔] ในกัปที่ ๕๘ นายเรือผู้นี้
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าตารณะ
เป็นใหญ่ มีชัยชนะในทวีปทั้ง ๔ 
(052) Sattapaññāsakappamhi Campako nāma khattiyo /
uggacchanto va suriyo jotissati mahābalo. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๕] ในกัปที่ ๕๗ (นับจากกัปนี้ไป)
จักเกิดเป็นกษัตริย์พระนามว่าจัมพกะ
มีพลานุภาพมาก จักรุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์อุทัย 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tidasā so cavitvāna manussattaṃ gamissati /
Revato nāma nāmena brahmabandhu bhavissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๗] นายเรือผู้นี้จุติจากสวรรค์ชั้นไตรทิพย์แล้วจักไปเกิดเป็นมนุษย์
เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าเรวตะ ตามโคตร 
Agārā nikkhamitvāna sukkamūlena codito /
Gotamassa bhagavato sāsane pabbajissati. // ApTha_1,9. // 
[๖๓๘] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักออกจากเรือนไปบวชในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม 
So pacchā pabbajitvāna yuttayogo vipassako /
sabbāsave pariññāya nibbāyissati 'nāsavo.’ // ApTha_1,9. // 
[๖๓๙] หลังจากบวชแล้ว เขาจักประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน 
Viriyam me dhuradhorayhaṃ yogakkhemādhivāhanaṃ /
dhāremi antimaṃ dehaṃ sammāsambuddhasāsane. // ApTha_1,9. // 
[๖๔๐] ข้าพเจ้ามีความเพียรสำหรับนำพาธุระ
เป็นความเพียรที่นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ
ข้าพเจ้าทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้าย
อยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
(No text in PTS) 
[๖๔๑] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ใน ๑๐๐,๐๐๐ กัป
แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้วดุจความเร็วแห่งลูกศรพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว 
(No text in PTS) 
[๖๔๒] แต่นั้น พระมุนีผู้มีพระปัญญามาก
ทรงถึงที่สุดแห่งโลก(คือถึงความสิ้นทุกข์)
ได้ทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าผู้ยินดีในป่า
จึงทรงตั้งข้าพเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร 
Paṭisambhidā catasso ca vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,9. // 
[๖๔๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Khadiravaniyo Revato thero imā gāthāyo abhāsitthati. 
ได้ทราบว่า ท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Khadiravaniyo Revatattherassa apadānaṃ samattaṃ. 
ขทิรวนิยเรวตเถราปทานที่ ๙ จบ 
10. Ānanda. 
๑๐. อานันทเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระอานนทเถระ (พระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Ārāmādvārā nikkhamma Padumuttaro mahāmuni /
vassanto amataṃ vuṭṭhiṃ nibbāpesi mahājanaṃ. // ApTha_1,10. // 
[๖๔๔] พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
เสด็จออกจากประตูอารามแล้ว
ทรงบันดาลฝนคืออมตธรรมให้ตก ให้มหาชนสงบเย็นแล้ว 
Satasahassāni vīrā chaḷabhiññā mahiddhikā /
parivārenti sambuddhaṃ chāyā 'va anapāyinī. // ApTha_1,10. // 
[๖๔๕] พระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเหล่านั้น
ผู้เป็นนักปราชญ์ สำเร็จอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดุจเงาติดตามพระองค์ 
Hatthikkhandhagato āsiṃ setacchattam varuttamaṃ /
sucārurūpaṃ disvāna vitti me udapajjatha. // ApTha_1,10. // 
[๖๔๖] ข้าพเจ้าได้นั่งกั้นเศวตฉัตรอันประเสริฐเลิศอยู่บนคอช้าง
เพราะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปงดงาม
ข้าพเจ้าจึงเกิดความปีติยินดี 
Oruyha hatthikkhandhamhā upagacchiṃ narāsabhaṃ /
ratanāmayachattam me Buddhaseṭṭhassa dhārayiṃ. // ApTha_1,10. // 
[๖๔๗] ข้าพเจ้าจึงลงจากคอช้างแล้วเข้าเฝ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้องอาจกว่านรชน
ข้าพเจ้าได้กั้นฉัตรแก้วของข้าพเจ้าถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด 
(053) Mama saṅkappam aññāya Padumuttaro mahāisi /
taṃ kathaṃ ṭhapayitvāna imā gāthā abhāsatha: // ApTha_1,10. // 
[๖๔๘] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงแสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
จึงทรงพักการแสดงธรรมกถาไว้แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
‘Yo so chattaṃ adhāresi soṇṇalaṅkārabhūsitaṃ /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇotha mama bhāsato: // ApTha_1,10. // 
[๖๔๙] เราจักพยากรณ์ราชกุมาร
ผู้ที่ได้กั้นฉัตรอันประดับด้วยเครื่องอลังการทองนั้น
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
Ito gantvā ayaṃ poso Tusitaṃ āvasissati /
anubhossati sampattiṃ accharāhi purakkhato. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๐] ราชกุมารนี้จุติจากมนุษยโลกนี้แล้ว
จักไปครองสวรรค์ชั้นดุสิต
มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อมเสวยสมบัติ 
Catutiṃsatikkhattuñ ca devarajjaṃ karissati /
balādhipo aṭṭhasataṃ vasudhaṃ āvasissati. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๑] จักครองเทวสมบัติ ๓๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ 
Aṭṭhapaññāsakkhattuñ ca cakkavatti bhavissati /
padesarajjaṃ vipulaṃ mahiyā kā*rayissati.* // ApTha_1,10. // 
[๖๕๒] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ชาติ
จักครองความเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ในแผ่นดิน 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติในโลก 
Sakyānaṃ kulaketussa ñātibandhu bhavissati /
Ānando nāma nāmena upaṭṭhāko mahesino. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๔] ราชกุมารนี้จักเป็นพระญาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นธงชัยแห่งศากยะตระกูล มีนามว่าอานนท์
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ 
Ātā*pī ni*pako cāpi bāhusaccesu kovido /
nivātavutti athaddho sabbapāṭhī bhavissati. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๕] มีความเพียร มีปัญญารักษาตน เฉลียวฉลาดในพาหุสัจจะ
ประพฤติถ่อมตน ไม่แข็งกระด้าง
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งปาฐะทั้งปวง 
Padhānapahitatto so upasanto nirūpadhi /
sabbāsave pariññāya nibbāyissat’ anāsavo'. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๖] พระอานนท์นั้นมีจิตเด็ดเดี่ยวบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน 
Santi āraññakā nāgā kuñjarā saṭṭhihāyanā /
tidhāppabhinnā mātaṅgā-r-īsādantā urūḷhavā. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๗] ช้างกุญชรเกิดในป่า เป็นช้างตระกูลมาตังคะ
เสื่อมกำลังเมื่ออายุ ๖๐ ปี ตกมัน ๓ แห่ง
มีงางอนงาม ควรเป็นราชพาหนะ ฉันใด 
Anekasatasahassā paṇḍitā pi mahiddhikā /
sabbe te Buddhanāgassa na honti parivimhitā. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๘] แม้บัณฑิตหลายแสนรูปก็ฉันนั้น มีฤทธิ์มาก
ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ท่านเหล่านั้นไม่เป็นเช่นนั้น ในการตัดสินใจ 
Ādiyāme namassāmi majjhime atha pacchime /
pasannacitto sumano Buddhaseṭṭhaṃ upaṭṭhahiṃ. // ApTha_1,10. // 
[๖๕๙] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสมีใจยินดีนอบน้อม
ทั้งในปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม
เป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด 
Ātāpī nipako cāpi sampajāno patissato /
sotāpattiphalaṃ patto sekhabhūmisu kovido. // ApTha_1,10. // 
[๖๖๐] ข้าพเจ้ามีความเพียร มีปัญญารักษาตน มีสติสัมปชัญญะ
บรรลุโสดาปัตติผล เฉลียวฉลาดในเสขภูมิ 
Kappe 'to satasahasse yaṃ kammam abhinīhariṃ /
tāhaṃ bhūmim anuppatto ṭhito saṅgama-m-ācalo. // ApTha_1,10. // 
[๖๖๑] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้สร้างกรรมใดไว้
ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้นแล้ว
ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วมีผลมาก 
(054) Sāgataṃ vata me āsi Buddhaseṭṭhassa santike /
tisso vijjā anuppatto kataṃ Buddhassasāsanaṃ. // ApTha_1,10. // 
[๖๖๒] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca aṭṭh’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,10. // 
[๖๖๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Go to Wiki Documentation
Enhet: Det humanistiske fakultet   Utviklet av: IT-seksjonen ved HF
Login