You are here: BP HOME > PT > Khuddakanikāya: Apadāna > fulltext
Khuddakanikāya: Apadāna

Choose languages

Choose images, etc.

Choose languages
Choose display
  • Enable images
  • Enable footnotes
    • Show all footnotes
    • Minimize footnotes
Search-help
Choose specific texts..
    Click to Expand/Collapse Option Complete text
Click to Expand/Collapse OptionBuddhāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionPaccekabuddhāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionTherāpadānaṃ
Click to Expand/Collapse OptionTherī Apadāna
Itthaṃ sudaṃ āyasmā Puṇṇomantāniputtothero imā gāthāyo abhāsitthāti. 
ได้ทราบว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ 
Puṇṇo Mantāṇiputtattherassa apadānaṃsamattaṃ. 
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๕ จบ 
6. Upāli 
๖. อุปาลิเถราปทาน [ประวัติในอดีตชาติของพระอุบาลีเถระ (พระอุบาลีเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)] 
Naṅgare Haṃsavatiyā Sujāto nāma brāhmaṇo /
asītikoṭinicayo pahūtadhanadhaññavā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๑] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุชาตะ
ในกรุงหงสวดี มีกองทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นอันมาก 
Ajjhāyako mantadharo tiṇṇaṃ vedānapāragū /
lakkhaṇe itibhāse ca saddhamme pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๒] เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์
จบไตรเพท สำเร็จในคัมภีร์พยากรณ์ลักษณะ
คัมภีร์อิติหาสะ และไตรเพท อันเป็นธรรมของตน 
Paribbājā ekasikhā Gotamabuddhasāvakā /
carakā tāpasā c’ eva caranti mahiyā tadā // ApTha_1,6. // 
[๔๔๓] ครั้งนั้น เหล่าปริพาชกผู้มีผมปอยเดียว
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเชื้อสายพระอาทิตย์
และเหล่าดาบสผู้เที่ยวสัญจร
พากันท่องเที่ยวไปบนพื้นแผ่นดิน 
‘Te pi maṃ parivārenti’ brāhmaṇo vissuto iti; /
bahujjano maṃ pūjeti nāhaṃ pūjemi kañcinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๔] แม้พวกเขาก็พากันห้อมล้อมข้าพเจ้า
ด้วยสำคัญว่า เป็นพราหมณ์ มีชื่อเสียง
ชนจำนวนมากพากันบูชาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่บูชาใครๆ 
Pūjārahaṃ na passāmi mānatthaddho ahaṃ tadā /
buddho ti vacanaṃ natthi tāva nuppajjate jino. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นใครว่าเป็นผู้ที่ควรบูชา จึงถือตัวจัด
พระชินเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นมาตราบใด
คำว่า พุทธะ ก็ยังไม่มีตราบนั้น 
Accayena ahorattaṃ Padumuttaranāyako /
sabbaṃ tamaṃ vinodetvā loke uppajji cakkhumā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๖] เมื่อวันคืนล่วงไป พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงเป็นผู้นำ ผู้มีพระจักษุ
เสด็จอุบัติขึ้นมาบรรเทาความมืดทั้งปวงในโลก 
Vitthārike bahujaññe puthubhūte ca sāsane /
upāgami tadā buddho naṅgaraṃ Haṃsasavhayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๗] เมื่อศาสนาแผ่ไปกว้างขวาง มีท่านผู้รู้มากและเป็นปึกแผ่น
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังกรุงหงสวดี 
(038) Parūpatthā*ya so buddho*dhammaṃ desesi cakkhumā /
tena kālena parisā samantā yojanaṃ tadā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๘] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุพระองค์นั้น
ได้ทรงแสดงธรรมเป็นประโยชน์แก่พระบิดา
มีชุมนุมชนอยู่โดยรอบตลอดหนึ่งโยชน์ ตามเวลานั้น 
Sammato manujānaṃ so Sunando nāma tāpaso /
yāvatā buddhaparisā puppheh’ acchādayī tadā. // ApTha_1,6. // 
[๔๔๙] ครั้งนั้น สุนันทดาบสได้รับสมมติจากหมู่ชน(ว่าเป็นเลิศ)
ได้ใช้ดอกไม้บังแดดทั่วพุทธบริษัท 
Catusaccaṃ pakāsento seṭṭhe va pupphamaṇḍape /
koṭisatasahassānaṃ dhammābhisamayo ahu. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๐] เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจจะ ๔
ณ มณฑปดอกไม้ที่งดงาม
เหล่าสัตว์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรม 
Sattarattindivaṃ buddho vassitvā dhammavuṭṭhiyā /
aṭṭhame divase patte Sunandaṃ kittayi jino. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๑] พระพุทธเจ้าทรงบันดาลหยาดฝนคือพระธรรม
ให้ตกลงตลอดทั้ง ๗ คืน ๗ วัน
พอถึงวันที่ ๘ พระชินเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสว่า 
Devaloke manusse vā saṃsaranto ayaṃ bhave /
sabbesaṃ pavaro hutvā bhaveussaṃsarissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๒] ท่านผู้นี้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดในเทวโลกหรือมนุษยโลก
ก็จักเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครทั้งหมด
จักเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งหลาย 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tassa dhammesu dāyādo oraso dhammanimmito /
Mantāṇiputto Puṇṇo ti hessati satthu sāvako. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๔] ท่านผู้นี้จักเป็นบุตรของนางมันตานี มีนามว่าปุณณะ
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น 
Evaṃ kittayi sambuddho Sunandaṃ tāpasaṃ tadā /
hāsayanto janaṃ sabbaṃ dassayanto sakaṃ balaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๕] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสอย่างนี้แล้ว
ทำให้ประชาชนทั้งปวงร่าเริง ทรงแสดงกำลังของพระองค์ 
Katañjalī namassanti Sunandaṃ tāpasaṃ tadā /
buddhe kāraṃ karitvāna sodhesi gatim attano. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๖] ครั้งนั้น ประชาชนประนมมือไหว้สุนันทดาบส
แต่สุนันทดาบสครั้นทำสักการะในพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ได้ชำระคติ(กำเนิด)ของตนให้บริสุทธิ์หมดจด 
Tattha me ahu saṅkappo sutvāna munino vacaṃ /
aham pi kāraṃ karissāmi yathā passāmi Gotamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๗] เพราะข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระมุนี ณ ที่นั้น
จึงได้มีความดำริว่า เราจักสั่งสมบุญ
โดยประการที่จะได้พบพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม 
Evāhaṃ cintayitvāna kiriyaṃ cintayiṃ mamaṃ /
kyāhaṃ kammaṃ ācarāmi puññakkhette anuttare. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๘] ครั้นข้าพเจ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดถึงกิจที่เราควรทำว่า
เราจะบำเพ็ญบุญกรรมเช่นไร ในเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยม 
Ayaṃ ca pāṭhiko bhikkhu sabbapāṭhikasāsane /
vinaye agganikkhitto taṃ ṭhānaṃ patthaye ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๕๙] บรรดาภิกษุผู้เป็นนักสวดทั้งหมดในศาสนา
ภิกษุรูปนี้เป็นนักสวดรูปหนึ่ง
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้เลิศในทางวินัย
ตำแหน่งนั้นข้าพเจ้าปรารถนา แล้ว 
Idaṃ me amitaṃ bhogaṃ akkhobhaṃ sāgarūpamaṃ /
tena bhogena buddhassa ārāmaṃ māpaye ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๐] โภคสมบัติของข้าพเจ้านี้นับประมาณมิได้
เปรียบดังห้วงน้ำที่ไม่มีอะไรๆ ทำให้กระเพื่อมได้ (นับไม่ได้)
ข้าพเจ้าได้จ่ายโภคสมบัตินั้นสร้างอารามถวายพระพุทธเจ้า 
Sobhanaṃ nāma ārāmaṃ naṅgarassa puratthato /
katvā satasahassena saṅghārāmaṃ amāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๑] ข้าพเจ้าจ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อสวนชื่อว่าโสภณะ
ด้านทิศตะวันออกนคร สร้างให้เป็นสังฆาราม 
(039) Kūṭāgāre ca pāsāde maṇḍape kammiye guhā /
caṅkame sukate katvā saṅghārāmaṃ amāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๒] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนยอด ปราสาท มณฑป
เรือนโล้น ถ้ำ และที่จงกรมไว้ในสังฆารามอย่างดี 
Jantāgharaṃ aggisālaṃ adho udakamālakaṃ /
nahānagharaṃ māpayitvā bhikkhusaṅghass’ adās’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๓] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนไฟ โรงไฟ
โรงน้ำ และห้องอาบน้ำ ถวายแด่หมู่ภิกษุ 
Āsandiyo pīṭhake ca paribhoge ca bhājane /
ārāmikañ ca bhesajjaṃ sabbam etaṃ adās’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๔] ข้าพเจ้าได้ถวายเก้าอี้นอน ตั่ง
ภาชนะสำหรับใช้สอย คนวัด และเภสัชนั้นครบทุกอย่าง 
Ārakkhaṃ paṭṭhapetvāna pākāraṃ kārayiṃ daḷhaṃ /
mā naṃ koci viheṭhesi santacittāna tādinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๕] ข้าพเจ้าได้จัดตั้งอารักขาไว้ ให้สร้างกำแพงอย่างมั่นคง
ด้วยหวังว่า ใครๆ อย่าได้รบกวนอารามแห่งนั้น
ของท่านผู้มีจิตสงบ ผู้คงที่เลย 
Āvāsasatasahassena saṅghārāmaṃ amāpayiṃ /
vepullataṃ pāpayitvā sambuddhaṃ upanāmayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๖] ข้าพเจ้าได้จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนสร้างที่อยู่ไว้ในสังฆาราม
ครั้นให้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงน้อมถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า 
Niṭṭhāpito mayārāmo sampaṭiccha tuvaṃ muni /
niyyātessāmi te vīra adhivāsehi cakkhumā. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๗] ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์สร้างอารามเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขอพระองค์ทรงรับเถิด ข้าแต่พระธีรเจ้าผู้มีพระจักษุ
ข้าพระองค์ขอมอบถวายแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงรับเถิด 
Padumuttaro lokavidū āhutīnaṃ paṭiggaho /
mama saṅkappam aññāya adhivāsesi nāyako. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ทรงเป็นผู้นำ
ทราบความดำริของข้าพเจ้าแล้ว จึงทรงรับไว้ 
Adhivāsanam aññāya sabbaññussa mahesino /
bhojanaṃ paṭiyādetvā kālam ārocayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๖๙] ข้าพเจ้าทราบการรับของพระสัพพัญญู
ผู้แสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่
จึงตระเตรียมโภชนาหารแล้ว ไปกราบทูลภัตตกาล 
Ārocitamhi kālamhi Padumuttaranāyako /
khīṇāsavasahassehi ārāmaṃ me upāgami. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๐] เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลภัตตกาลแล้ว
พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงเป็นผู้นำ
พร้อมด้วยพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จมาสู่อารามของข้าพเจ้า 
Nisinnaṃ kālam aññāya annapānena tappayiṃ /
bhuttāviṃkālam aññāya idaṃ vacanam abraviṃ: // ApTha_1,6. // 
[๔๗๑] ข้าพเจ้าทราบเวลาที่พระองค์ประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
จึงอังคาสให้อิ่มหนำ
ทราบเวลาที่เสวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลคำนี้ว่า 
‘Kīto satasahassena tattaken’ eva kārito /
Sobhano nāma ārāmo sampaṭiccha tuvaṃ mune.' // ApTha_1,6. // 
[๔๗๒] อารามชื่อโสภณะข้าพระองค์จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อมา
ได้สร้างจนเสร็จเรียบร้อยด้วยทรัพย์จำนวนเท่านั้นเช่นกัน
ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์ทรงรับเถิด 
Iminārāmadānena cetanāpaṇidhīhi ca /
bhave nibbattamāno 'haṃ labhāmi mama patthitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๓] ด้วยการถวายพระอารามแห่งนี้และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
เมื่อข้าพระองค์บังเกิดในภพ
ขอจงได้สิ่งที่ข้าพระองค์ปรารถนาเถิด 
Paṭiggahetvā sambuddho saṅghārāmaṃ sumāpitaṃ /
bhikkhusaṅghe nisīditvā idaṃ vacanam abravi. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับสังฆาราม
ที่ข้าพเจ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า 
"Yo so buddhassa pādāsi saṅghārāmaṃ sumāpitaṃ /
tam ahaṃ kittayissāmi; suṇotha mama bhāsato: // ApTha_1,6. // 
[๔๗๕] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายสังฆาราม
ซึ่งสร้าง(กุฏิ ที่เร้น มณฑป ปราสาท เรือนโล้น และกำแพงเป็นต้น)
เสร็จเรียบร้อยแล้วแด่พระพุทธเจ้า
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด 
(040) Hatthī-assā-rathā-pattī senā ca caturaṅginī /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๖] กองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า
พลรถ และพลเดินเท้า จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Saṭṭhiṃ turiyasahassāni bheriyo samalaṅkatā /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idan phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๗] เครื่องดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งสวยงาม จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Chalāsītisahassāni nāriyo samalaṅkatā /
vicittavatthābharaṇā āmuttamaṇikuṇḍalā. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๘] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง ผู้ประดับตกแต่งสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี 
Āḷārāpamhā hasulā susaññā tanumajjhimā /
parivāressant’ imaṃ niccaṃ saṅghārāmass’ idaṃ phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๗๙] มีหน้ากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม
เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม 
Tiṃsakappasahassāni devaloke ramissati /
sahassakkhattuṃ devindo devarajjaṃ karissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๐] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ 
Devarājena pattabbaṃ sabbaṃ paṭilabhissati /
anūnabhogo hutvāna devarajjaṃ karissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๑] จักได้สิ่งของทุกอย่างที่ท้าวเทวราชจะพึงได้
เป็นผู้มีโภคทรัพย์ไม่รู้จักพร่อง ครองเทวสมบัติ 
Sahassakkhattuṃ cakkavatti rājā raṭṭhe bhavissati /
pathavyā rajjaṃ vipulaṃ gaṇanāto asaṅkhiyaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๒] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน 
Kappasatasahassamhi Okkākakulasambhavo /
Gotamo nāma gottena satthā loke bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก 
Tassa dhammesu dāyādo oraso dhammanimmito /
Upāli nāma nāmena hessati satthu sāvako. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๔] ท่านผู้นี้จักมีนามว่าอุบาลี
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
เป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น 
Vinaye pāramippatto ṭhānāṭhāne ca kovido /
jinasāsanaṃ dhārento viharissat’ anāsavo." // ApTha_1,6. // 
[๔๘๕] จักถึงความสำเร็จในวินัย เป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะ
ดำรงศาสนาของพระชินเจ้าไว้ได้ อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ 
Sabbam etaṃ abhiññāya Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā etadagge ṭhapessati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงทราบความนั้นทั้งหมดแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
จักทรงตั้ง(อุบาลี)ไว้ในเอตทัคคะ 
Aparimeyy’ upādāya patthemi tava sāsanaṃ /
so me attho anuppatto sabbasaṃyojanakkhayo. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๗] ข้าพระองค์ปรารถนาศาสนาของพระองค์
เริ่มต้นตั้งแต่(หลายแสน)กัปที่นับมิได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้น
ทั้งได้บรรลุความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามลำดับ 
Yathā sūlāvuto poso rājadaṇḍena tajjito /
sūle sātaṃ na vindanto parimuttiṃ 'va icchati. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๘] คนถูกคุกคามด้วยพระราชอาญา
ถูกเสียบไว้ที่หลาวแล้ว ไม่ได้ความสำราญที่หลาว
ต้องการแต่จะหลุดพ้นไปอย่างเดียว ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra bhavadaṇḍena tajjito /
kammasūlāvuto santo pipāsāvedanāṭṭito. // ApTha_1,6. // 
[๔๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกคุกคามด้วยอาชญาคือภพ ถูกเสียบไว้ที่หลาวคือกรรม
ถูกเวทนาคือความกระหายบีบคั้นแล้ว 
Bhave sātaṃ na vindāmi ḍayhanto tīhi aggihi /
parimuttiṃ gavesāmi yathāpi rājadaṇḍito. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๐] ไม่ประสบความสำราญในภพ
ถูกไฟ ๓ กอง แผดเผาอยู่ แสวงหาอุบายรอดพ้น
ดุจคนแสวงหาอุบายรอดพ้นจากพระราชอาญา ฉะนั้น 
(041) *Yathā visādo puri*so visena paripīḷito /
agadaṃ so gaveseyya visaghātāy’ upāyaso. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๑] คนดื่มยาพิษ ถูกยาพิษบีบคั้น
เขาจึงแสวงหายากำจัดยาพิษ 
Gavesamāno passeyya agadaṃ visaghātakaṃ /
tam pivitvā sukhī assa visamhā parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๒] เมื่อแสวงหา จึงได้พบยากำจัดยาพิษ
ดื่มยานั้นแล้วก็มีความสุข เพราะรอดพ้นจากยาพิษ ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra yathā visahato naro /
sampīḷito *avijjāya saddhammāgadaṃ* es'ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เป็นเหมือนคนถูกยาพิษทำร้าย
ถูกอวิชชาบีบคั้น จึงแสวงหายาคือพระสัทธรรม 
Dhammāgadhaṃ gavesanto addakkhiṃ Sākyasāsanaṃ /
aggasabbosadhānaṃ taṃ sabbasallavinodanaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๔] เมื่อแสวงหายาคือพระธรรมก็ได้พบศาสนาของพระศากยะ
ศาสนานั้นเป็นยาชั้นเลิศกว่ายาทุกขนาน
สำหรับบรรเทาลูกศรทุกชนิด 
Dhammosadhaṃ pivitvāna visaṃ sabbaṃ samūhaniṃ /
ajarāmaraṃ sītibhāvaṃ nibbānaṃ passayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๕] ข้าพระองค์ดื่มธรรมโอสถแล้วก็ถอนพิษได้ทั้งหมด
ข้าพระองค์ได้สัมผัสพระนิพพาน ซึ่งไม่แก่ ไม่ตาย
เป็นภาวะเย็นสนิท 
Yathā bhūtaṭṭito poso bhūtaggāhena pīḷito /
bhūtavejjaṃ gaveseyya bhūtasmā parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๖] คนถูกผีคุกคาม ถูกผีสิงบีบคั้น
พึงแสวงหาหมอผี เพื่อรอดพ้นจากผี 
Gavesamāno passeyya bhūtavijjāsu kovidaṃ /
tassa so vihaññe bhūtaṃ samūlañ ca vināsaye. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๗] เมื่อแสวงหา ก็ได้พบหมอผีผู้ฉลาดในวิชาไล่ผี
หมอผีนั้นจึงขับไล่ผีให้คนนั้น
และทำผีพร้อมทั้งต้นเหตุให้พินาศ ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra tamaggāhena pīḷito /
ñāṇalokaṃ gavesāmi tamato parimuttiyā. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกผีคือความมืด(คือกิเลส)เบียดเบียน
จึงแสวงหาแสงสว่างคือญาณเพื่อรอดพ้นจากความมืด 
Ath’ addasaṃ Sakyamuniṃ kilesatamasodhanaṃ /
so me tamaṃ vinodesi bhūtavejjo va bhūtikaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๔๙๙] ต่อมา ข้าพระองค์ได้พบพระศากยมุนีผู้ชำระความมืดคือกิเลส
พระศากยมุนีนั้น ทรงบรรเทาความมืดให้ข้าพระองค์
ดุจหมอผีขับไล่ผีไป ฉะนั้น 
Saṃsārasotaṃ sañchindiṃ taṇhāsotaṃ nivārayiṃ; /
bhavaṃ ugghāṭayiṃ sabbaṃ bhūtavejjo va mūlato. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๐] ข้าพระองค์ได้ตัดกระแสการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
ห้ามกระแสแห่งตัณหาได้ ถอนภพขึ้นได้หมดสิ้น
ดุจหมอผีขับไล่ผีไปพร้อมทั้งต้นเหตุ ฉะนั้น 
Garuḷo yathā opatti pannagaṃ bhakkham attano /
samantāyojanasataṃ vikkhobheti mahāsaraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๑] พญาครุฑโฉบลงจับนาคซึ่งเป็นภักษาของตน
ย่อมทำน้ำในสระใหญ่ให้กระเพื่อมถึง ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ 
Pannagaṃ so gahetvāna adhosīsaṃ viheṭhayaṃ /
ādāya so pakkamati yena kāmaṃ vihaṅgamo. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๒] ครั้นพญาครุฑนั้นจับนาคได้แล้ว เบียดเบียนนาค ให้ห้อยหัวลง
มันจับนาคพาบินไปได้ตามความปรารถนา ฉันใด 
Tath’ evāhaṃ mahāvīra yathāpi Garuḷo balī /
asaṅkhataṃ gavesanto dose vikkhālayiṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เหมือนพญาครุฑที่มีพลัง
แสวงหาอสังขตธรรม ได้ชำระโทษทั้งหลายแล้ว 
Diṭṭho ahaṃ dhammavaraṃ santipadam anuttaraṃ /
ādāya viharām’ etaṃ Garuḷo pannagaṃ yathā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๔] ข้าพระองค์ได้เห็นธรรมอันประเสริฐ
จึงยึดถือเอาสันติบท อันยอดเยี่ยมนี้อยู่
ดุจพญาครุฑจับนาคไป ฉะนั้น 
Āsāvatī nāma latā jātā cittalatāvane /
tassā vassasahassena ekaṃ nibbattate phalaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๕] เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดาแล้ว
ล่วงไป ๑,๐๐๐ ปี เถาวัลย์นั้นจึงจะเกิดผลผลหนึ่ง 
(042) Taṃ devā payirupāsanti tāva dūraphalaṃ satiṃ /
devānaṃ sā piyā evaṃ āsāvati latuttamā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๖] เทพทั้งหลาย เข้าไปนั่งเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้น
เมื่อกาลนานๆ จะมีผลสักคราว
เถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้นเป็นเถาวัลย์ชั้นสูงสุด
เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเทวดาอย่างนี้ 
Satasahassaṃ upādāya tāhaṃ paricare muniṃ /
sāyaṃpātaṃ namassāmi devā āsāvatiṃ yathā. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๗] นับได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพระองค์จึงจะได้ปรนนิบัติพระมุนีนั้นนอบน้อมทั้งเช้าเย็น
ดุจเหล่าเทวดาได้เข้าไปเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีทั้งเช้าเย็น ฉะนั้น 
Avañjhā pāricariyā amoghā ca namassanā /
dūrāgatam pi maṃ santaṃ khaṇo maṃ na virādhayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๘] การปรนนิบัติ(พระพุทธเจ้า)ไม่เป็นหมัน(เปล่าประโยชน์)
และการนอบน้อมก็ไม่เปล่าประโยชน์
ถึงข้าพระองค์จะมาจากที่ไกล
ขณะ ก็มิได้ล่วงเลยข้าพระองค์ไป 
Paṭisandhiṃ na passāmi vicinanto bhave ahaṃ /
nirupadhi vippamutto upasanto carām’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๐๙] ข้าพระองค์ค้นหาการถือปฏิสนธิในภพก็ไม่เห็น
เพราะข้าพระองค์ไม่มีอุปธิ หลุดพ้นแล้ว(จากกิเลสทั้งปวง)
มีจิตสงบระงับเที่ยวไป 
Yathāpi padumaṃ nāma sūraraṃsena pupphati /
tath’ evāhaṃ mahāvīra buddharaṃsena pupphito. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๐] ธรรมดาดอกปทุมพอได้สัมผัสแสงดวงอาทิตย์
ก็แย้มบานทุกเมื่อ ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นบานแล้ว(คือสำเร็จมรรคผลนิพพาน)
เพราะรัศมีแห่งพระพุทธเจ้า 
Yathā balākayonimhi na vijjati pumā sadā /
meghesu gajjamānesu gabbhaṃ gaṇhanti tā sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๑] ในกำเนิดนกยาง ย่อมไม่มีนกยางตัวผู้ในกาลทุกเมื่อ
เมื่อเมฆฝนคำรน(เมื่อฟ้าร้อง)
นกยางตัวเมียจึงจะตั้งครรภ์ได้ ในกาลทั้งปวง 
Ciram pi gabbhaṃ dhārenti yāva megho na gajjati /
bhārato parimuccanti yadā megho pavassati. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๒] นกยางตัวเมียเหล่านั้นจะตั้งครรภ์อยู่นาน
ตราบเท่าที่เมฆฝนยังไม่คำราม
พวกมันจะพ้นจากภาระ(จะออกไข่)
ได้ก็ต่อเมื่อเมฆฝนตกลงมา ฉันใด 
Padumuttarabuddhassa dhammameghena gajjato /
saddena dhammameghassa dhammagabbhaṃ agaṇhi'haṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๓] ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงคำรนด้วยเมฆฝนคือพระธรรม
ก็ได้ตั้งครรภ์คือธรรม ด้วยเสียงแห่งเมฆฝนคือธรรม 
Satasahassaṃ upādāya puññagabbhaṃ dharem ahaṃ /
nappamuccāmi bhārato dhammamegho na gajjati. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๔] ใช้เวลาตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ จึงจะได้ตั้งครรภ์คือบุญ
ข้าพระองค์ยังไม่พ้นจากภาระ
ตราบเท่าที่เมฆฝนคือพระธรรมยังไม่คำรน 
Yadā tuvaṃ Sakyamuni ramme Kapilavatthave /
gajjasi dhammameghena bhārato parimucc' ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๕] ข้าแต่พระศากยมุนี พระองค์ทรงคำรน
ด้วยเมฆฝนคือพระธรรมในกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์ในกาลใด
ในกาลนั้นข้าพระองค์ก็จะพ้นจากภาระ 
Suññataṃ animittañ ca tathāpaṇihitam pi ca /
caturo ca phale sabbe dhamme 'va vijaṭāy' ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๖] ธรรมแม้นั้น คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์ และผล ๔ ทั้งปวง
ข้าพระองค์ก็ได้บรรลุแล้ว 
Dutiyabhāṇavāraṃ. 
ภาณวารที่ ๒ จบ 
Aparimeyy’ upādāya patthe*mi ta*va sāsanaṃ /
so me attho anuppatto santiṃ padam anuttaraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๗] ข้าพระองค์ปรารถนาคำสอนของพระองค์นานจนนับกัปไม่ได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว
ทั้งได้สันติบท อันยอดเยี่ยมตามลำดับ 
(043) Vinaye pāramiṃ patto yathā pi pāṭhiko isi /
na me samasamo atthi dhāremi sāsanaṃ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๘] ข้าพระองค์ถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นเหมือนภิกษุผู้แสวงคุณผู้มีชื่อเสียง
ไม่มีภิกษุรูปอื่นจะเสมอเหมือนข้าพระองค์
ข้าพระองค์ทรงจำคำสั่งสอนไว้ได้ 
Vinaye khandhake cāpi tikacchede 'va pañcake /
ettha me vimati n’ atthi akkhare vyañjane pi vā. // ApTha_1,6. // 
[๕๑๙] ในวินัยปิฎกทั้งสิ้นนี้ คือ ในวินัย ในขันธกะ
ในปริจเฉท ๓ (คือ ในสังฆาทิเสส ๓ หมวด
และปาจิตตีย์ ๓ หมวด)
ในหมวดที่ ๕ 1 ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยอักขระ(คือสระ)
หรือแม้ในพยัญชนะเลย 
Niggahe paṭikamme ca ṭhānāṭhāne ca kovido /
osāraṇe vuṭṭhāpane sabbaṭṭha pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๐] ข้าพระองค์ฉลาดในวิธีข่ม ในการกระทำคืน
ในฐานะที่ควรและฐานะที่ไม่ควร
ในการเรียกภิกษุผู้ถูกลงโทษกลับเข้าหมู่
และในการช่วยให้ภิกษุออกจากอาบัติ
ถึงความสำเร็จในการกระทำทางวินัยกรรมทุกอย่าง 
Vinaye khandhake cāpi nikkhipitvā padaṃ ahaṃ /
ubhato viniveṭhetvā rasato osāreyy’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๑] ข้าพระองค์ตั้งบทไว้ในวินัยและขันธกะ และขยายอุภโตวิภังค์
เรียก(ภิกษุผู้ถูกลงโทษ)กลับเข้าหมู่โดยกิจ(หน้าที่) 
Niruttiyā ca kusalo atthānatthe ca kovido /
anaññātaṃ mayā n’ atthi ekaggo satthu sāsane. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๒] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในนิรุตติศาสตร์
และฉลาดในประโยชน์และสิ่งมิใช่ประโยชน์
สิ่งที่ข้าพระองค์ไม่รู้ไม่มี
ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศผู้หนึ่งในศาสนาของพระศาสดา 
Rūpadakkho ahaṃ ajja Sakyaputtassa sāsane /
kaṅkhaṃ sabbaṃ vinodemi chindāmi sabbasaṃsayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๓] ในวันนี้ ข้าพระองค์มองเห็นรูปคดี
บรรเทาความสงสัยได้ทุกอย่าง ในศาสนาของพระศากยบุตร
ตัดความลังเลได้หมดสิ้น 
Padaṃ anupadañ cāpi akkharañ cāpi vyañjanaṃ /
nidāne pariyosāne sabbattha kovido ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๔] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในฐานะทั้งปวง คือ บทหน้า
บทหลัง อักขระ พยัญชนะ คำเริ่มต้น และคำลงท้าย 
Yathāpi rājā balavā niggaṇhitvā paran tape /
vijinitvāna saṅgāmaṃ naṅgaraṃ tattha māpaye. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๕] เหมือนอย่างพระราชาผู้มีพลัง
ทรงจับไพร่พลของพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์
ให้เดือดร้อน ชนะสงครามแล้ว รับสั่งให้สร้างนครไว้ในที่นั้น 
Pākāraṃ parikhañ cāpi esikañ dvārakoṭṭhakaṃ /
aṭṭālake ca vividhe kāraye naṅgare bahū. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๖] พึงรับสั่งให้สร้างกำแพง รับสั่งให้ขุดคูรอบ ตั้งเสาระเนียด
สร้างซุ้มประตู สร้างป้อมต่างๆ ไว้ในนคร เป็นอันมาก 
Siṅghāṭakaṃ caccarañ ca suvibhattantarāpaṇaṃ /
kārayeyya sabhaṃ tattha atthānatthaṃ vinicchayaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๗] พึงรับสั่งให้สร้างถนนสี่แยก ทางแยก
ร้านตลาด จัดสรรไว้เป็นอย่างดี
สร้างศาลสถิตยุติธรรมเป็นที่ตัดสินคดีความไว้ในนครนั้น 
Nigghāṭatthaṃ amittānaṃ chiddāchiddañ ca jānituṃ /
rakkhāya balakāyassa senāpaccam ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๘] เพื่อป้องกันอริราชศัตรู เพื่อจะรู้ช่องทาง(ดีร้าย)
เพื่อดูแลรักษากำลังพล พระราชาเจ้านครนั้น
จึงทรงแต่งตั้งแม่ทัพไว้ 
Ārakkhatthāya bhaṇḍassa nidhānakusalaṃ naraṃ /
‘mā me bhaṇḍaṃ vinassī’ ti bhaṇḍarakkhaṃ ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๒๙] เพื่อรักษาสิ่งของ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งคนที่ฉลาด
ในการเก็บรักษาสิ่งของ ให้เป็นผู้รักษาสิ่งของ
ด้วยตั้งพระทัยว่า สิ่งของของเราอย่าเสียหายไปเลย 
Māmako hoti yo rañño vuddhiṃ yassa ca icchati /
tassādhikaraṇaṃ deti mittassa paṭipajjituṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๐] ผู้ใดสมัครสมานกับพระราชา
และปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองแก่พระราชา
พระราชาย่อมมอบหน้าที่แก่ผู้นั้น
เพื่อปฏิบัติตอบแทนต่อมิตร 
Uppādesu nimittesu lakkhaṇesu ca kovidaṃ /
ajjhāyakaṃ mantadharaṃ porohicce ṭhapeti so. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๑] พระราชาพระองค์นั้น ย่อมทรงแต่งตั้งผู้ที่ฉลาดในลางบอกเหตุ
ในนิมิตและในลักษณะ
ผู้คงแก่เรียน ผู้ทรงมนตร์ ไว้ในตำแหน่งปุโรหิต 
(044) Eteh’ aṅgehi sampanno khattiyo ti pavuccati /
sadā rakkhanti rājānaṃ cakkavāko va dukkhitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๒] พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้
พสกนิกรจึงขนานพระนามว่ากษัตริย์
เหล่าอำมาตย์จึงถวายการอารักขาพระราชาทุกเมื่อ
ดุจนกจักรพากเฝ้ารักษานกผู้ประสบทุกข์ 
Tath’ eva tvaṃ mahāvīra hatāmitto va khattiyo /
sadevakassa lokassa dhammarājā ti vuccati. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เป็นดุจกษัตริย์ ผู้ขจัดข้าศึกศัตรูได้แล้ว
ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงขนานพระนามว่าธรรมราชา 
Titthiye nihanitvāna Mārañ cāpi sasenakaṃ /
tam andhakāraṃ vidhamitvā dhammanaṅgaraṃ amāpayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๔] พระองค์ทรงปราบเหล่าเดียรถีย์
ทรงกำจัดมารพร้อมทั้งเสนามาร
ทรงขจัดความมืดมนอนธการแล้ว ได้ทรงสร้างนครคือพระธรรมไว้ 
Sīlaṃ pākārikaṃ tattha ñāṇan te dvārakoṭṭhakaṃ /
saddhā te esikā dhīra dvārapālo 'va saṃvaro. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ในนครคือพระธรรมนั้น
พระองค์มีศีลเป็นปราการ มีพระญาณเป็นซุ้มประตู
มีศรัทธาเป็นเสาระเนียด และมีความสังวรเป็นนายประตู 
Satipaṭṭhānam aṭṭālaṃ paññā te caccaraṃ mune /
iddhipādañ ca siṅghāṭaṃ dhammavīthiṃ sumāpitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๖] ข้าแต่พระมุนี พระองค์มีสติปัฏฐานเป็นป้อม
มีพระปัญญาเป็นชุมทาง
มีอิทธิบาทเป็นถนนสี่แยก
ธรรมวิถี พระองค์ก็ทรงสร้างไว้ดีแล้ว 
Suttantaṃ Abhidhammañ ca Vinayañ cāpi kevalaṃ /
navaṅgabuddhavacanaṃ ettha dhammasabhā tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๗] พระองค์มีพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
และพระพุทธพจน์มีองค์ ๙ แม้ทั้งมวล
นี้เป็นธรรมสภา 
Suññatam animittañ ca *vihārañ cāppanīhitaṃ /
anejañ ca* nirodho ca esā dhammakuṭi tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๘] พระองค์มีสุญญตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่อันว่าง)
อนิมิตตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีนิมิต)
อัปปณิหิตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีความตั้งปรารถนา)
อาเนญชวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่หวั่นไหว)
นิโรธวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่คือความดับ) นี้เป็นธรรมกุฎี 
Paññāya aggo nikkhitto paṭibhāne ca kovido /
Sāriputto ti nāmena dhammasenāpatī tava. // ApTha_1,6. // 
[๕๓๙] พระเถระผู้เลิศด้วยปัญญา ที่ทรงแต่งตั้งไว้
ฉลาดในปฏิภาณ มีนามว่าสารีบุตร
เป็นจอมทัพธรรมของพระองค์ 
Cutūpapātakusalo iddhiyā pāramiṅgato /
Kolito nāma nāmena po*rohicco tava mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๐] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ฉลาดในจุติและปฏิสนธิ
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ มีนามว่าโกลิตะ (โมคคัลลานะ)
เป็นปุโรหิตของพระองค์ 
Po*rāṇakavaṃsadharo uggatejo durāsado /
dhūtavādiguṇen’ aggo akkhadasso tavaṃ mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๑] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ดำรงวงศ์เก่าแก่
มีเดชแผ่ไป หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เป็นผู้เลิศด้วยธุดงค์คุณ(มีนามว่ากัสสปะ)เป็นผู้พิพากษาของพระองค์ 
Bahussuto dhammadharo sabbapāṭhī ca sāsane /
Ānando nāma nāmena dhammārakkho tavaṃ mune. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๒] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สวดสาธยายทุกรูป๓- ในศาสนา
มีนามว่าอานนท์ เป็นผู้รักษาธรรมของพระองค์ 
Ete sabbe atikkamma pihesi bhagavā mamaṃ /
vinicchayam me pādāsi vinaye viññūdesitaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๓] พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงละพระเถระเหล่านี้ทุกรูป
ทรงมุ่งเฉพาะข้าพระองค์ แล้วทรงประทานการวินิจฉัยวินัย
ซึ่งบัณฑิตผู้รู้แสดงไว้แล้วแก่ข้าพระองค์ 
Yo koci vinaye pañhaṃ pucchati buddhasāvako /
tattha me cintanā n’ atthi tañ yev’ atthaṃ kathem’ ahaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๔] สาวกของพระพุทธองค์ บางรูปไต่ถามปัญหาในวินัย
ในปัญหาที่ถามมานั้น ข้าพระองค์ไม่ต้องคิด(ลังเล)
ย่อมอธิบายปัญหานั้นได้เลย 
Yāvatā buddhakhettamhi ṭhapetvā taṃ mabāmuni /
vinaye mādiso n’ atthi, kuto bhiyyo bhavissati. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๕] ข้าแต่พระมหามุนีตลอดพุทธเขต ยกเว้นพระองค์
ในพระวินัยไม่มีใครผู้เช่นกับข้าพระองค์
ผู้ที่ยิ่งกว่าจักมีแต่ที่ไหน 
(045) Bhikkhusaṅghe nisīditvā evaṃ gajjati Gotamo: /
Upālissa samo n’ atthi Vinaye Khandhakesu ca // ApTha_1,6. // 
[๕๔๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดม ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว
บันลืออย่างนี้ว่า ผู้เสมอกับอุบาลีในพระวินัย
และในขันธกะ(คือในมหาวรรค จูฬวรรคและปริวาร)ไม่มี 
Yāvatā Buddhabhaṇitaṃ navaṅgaṃ Satthusāsanaṃ /
vinayogadhitaṃ sabbaṃ vinayamūlapassino. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๗] สำหรับท่านผู้เห็นพระวินัยเป็นหลักสำคัญ
นวังคสัตถุศาสตร์ เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทั้งหมดพระศาสดาตรัสไว้ในวินัย 
Mama kammaṃ saritvāna Gotamo Sakyapuṅgavo /
bhikkhusaṅghe nisīditvā etadagge ṭhapesi maṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๘] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพระองค์
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพระองค์ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ 
Satasahass’ upādāya imaṃ ṭhānaṃ apatthayiṃ /
so me attho anuppatto vinaye pāramiṅgato. // ApTha_1,6. // 
[๕๔๙] ข้าพระองค์ได้ปรารถนาตำแหน่งนี้นานนับได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว ถึงความสำเร็จในวินัย 
Sakyānaṃ nandijanano kappako ās’ ahaṃ pure /
vijahitvāna taṃ jātiṃ putto jāto mahesino. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๐] เมื่อก่อน ข้าพระองค์เป็นช่างกัลบก (ช่างตัดผม)
เป็นผู้ทำให้เจ้าศากยะทั้งหลายเกิดความเพลิดเพลิน
ได้ละชาติกำเนิดนั้นแล้วมาเป็นบุตร
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ 
Ito dutiyake kappe Ajaso nāma khattiyo /
anantatejo amitayaso bhūmipālo mahaddhano. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๑] ในกัปที่ ๒ นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้มีกษัตริย์พระนามว่าอัญชสะ
ทรงเดชานุภาพหาที่สุดมิได้
ทรงยศหาประมาณมิได้
เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์มาก 
Tassa rañño ahaṃ putto Candano nāma khattiyo /
jātimaden’ upatthaddho yasabhogamadena ca // ApTha_1,6. // 
[๕๕๒] ข้าพระองค์ได้เป็นขัตติยกุมารมีนามว่าจันทนะ
เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น
เป็นคนมีกิริยาแข็งกระด้าง
เพราะความมัวเมาในชาติตระกูล ในยศ และในโภคะ 
Nāgasatasahassāni sabbālaṅkārabhūsitā /
tidhapabhinnā mātaṅgā parivārenti maṃ sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๓] ช้างตระกูลมาตังคะ ๑๐๐,๐๐๐ เชือก
ตกมัน ๓ แห่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง
แวดล้อมข้าพระองค์อยู่ทุกเมื่อ 
Sabalehi pareto haṃ uyyānaṃ gantukāmako /
āruyha Sirikaṃ nāgaṃ naṅgarā nikkhamiṃ tadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๔] ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีกำลังพลของตนห้อมล้อม
ต้องการจะประพาสอุทยาน
จึงทรงช้างชื่อสิริกะออกจากนครไป 
Caraṇena ca sampanno *guttadvāre*susaṃvuto /
Devalo nāma sambuddho āgacchi purato mamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๕] พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเทวละ
ผู้เพียบพร้อมด้วยจรณะ คุ้มครองทวาร
สำรวมด้วยดี เสด็จมาข้างหน้าของข้าพระองค์ 
Pesetvā Sirikaṃ nāgaṃ Buddhaṃ āsādayiṃ tadā /
tato sañjātakopo so nāgo nuddharate padaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๖] ครั้งนั้น ข้าพระองค์ได้ไสช้างสิริกะไป
จะให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
เพราะเหตุนั้น ช้างนั้นเหมือนเกิดความโกรธยกเท้าไม่ขึ้น 
Nāgaṃ duṭṭhamanaṃ disvā Buddhe kopaṃ akās’ ahaṃ /
vihesayitvā sambuddhaṃ uyyānaṃ a*gamās’ ahaṃ.* // ApTha_1,6. // 
[๕๕๗] ข้าพระองค์เห็นช้างเสียใจ จึงโกรธพระพุทธเจ้า
เบียดเบียนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ไปอุทยาน 
Sātaṃ tattha na vindāmi; siro pajjalito yathā /
parilāhena ḍayhāmi maccho va baḷisādako. // ApTha_1,6. // 
[๕๕๘] เพราะการจะให้ช้างทำร้ายนั้นเป็นเหตุ
ข้าพระองค์จึงมิได้ประสบความสำราญ
ศีรษะเป็นเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่
ข้าพระองค์ถูกความเร่าร้อนเผาไหม้อยู่ เหมือนปลาติดเบ็ด 
(046) Sasāgarantā pathavī ādittā viya hoti me /
pitu santik’ upāgamma idaṃ vacanam abraviṃ: // ApTha_1,6. // 
[๕๕๙] แผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครเป็นที่สุด
ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์เป็นดุจไฟลุกท่วม
ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระราชบิดาแล้วกราบทูลคำนี้ว่า 
Āsīvisaṃ va kupitaṃ aggikkhandham va āgataṃ /
mattaṃ va kuñjaraṃ* dantiṃ yaṃ sayambhuṃ* asādayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๐] หม่อมฉันได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นพระสยัมภูพระองค์ใด
ผู้เป็นดังอสรพิษที่ถูกทำให้โกรธ
ดังกองไฟที่ลามมา ดังช้างพลายตัวตกมัน 
Āsādito mayā Buddho ghoro uggatapo jino /
purā sabbe vinassāma khamāpessāma taṃ muniṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๑] พระพุทธชินเจ้า ผู้มีตบะแก่กล้า ถูกข้าพระองค์รุกราน
พวกเราชาวเมืองทั้งปวงจักพินาศ
พวกเราจักขอขมาพระมุนีนั้น 
No ce taṃ nijjhapessāma attadantaṃ samāhitaṃ /
orena sattame divase raṭṭhaṃ me vidhamissati. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๒] หากพวกเราจักไม่ขอขมาพระองค์(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้มีจิตตั้งมั่น
แว่นแคว้นของเราจักพินาศภายในวันที่ ๗ 
S*umekhalo Kosiyo* ca Siggavo cāpi Sattuko /
āsādayitvā isayo duggatā te sasenakā. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๓] พระเจ้าสุเมขลราช พระเจ้าโกสิยราช
พระเจ้าสิคควราช พระเจ้าสัตตกราชเหล่านั้นพร้อมเสนา
ได้รุกรานท่านฤๅษีทั้งหลายแล้ว ได้ถึงความทุกข์ยาก 
Yadā kuppanti isayo saññatā brahmacāriyo /
sadevakaṃ vināsenti sasāgaraṃ sapabbataṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๔] ท่านฤๅษีทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว
ประพฤติประเสริฐ ย่อมโกรธในกาลใด
ในกาลนั้นย่อมทำมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ท้องทะเล และภูเขา ให้พินาศไป 
Tiyojanasahassamhi purise sanni*pātayiṃ /
accayaṃ desana*tthāya sayambhuṃ upasaṅkamiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๕] ข้าพระองค์จึงสั่งให้ประชาชนมาประชุมกันในพื้นที่
ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ เพื่อต้องการจะแสดงโทษ
จึงเข้าไปหาพระสยัมภูพุทธเจ้า 
Allavatthā allasirā sabbe 'va p’ añjalīkatā /
Buddhassa pāde nipatitvā idaṃ vacanam abravuṃ: // ApTha_1,6. // 
[๕๖๖] ประชาชน(พร้อมทั้งข้าพระองค์)ทั้งหมด
มีผ้าเปียก ศีรษะเปียก ประนมมือ
พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระสยัมภูพุทธเจ้า
แล้วได้กราบเรียนคำนี้ว่า 
‘Khamassu tvaṃ mahāvīra '; abhiyācati taṃ jano /
pariḷāhaṃ vinodehi; mā ca raṭṭhaṃ vināsāya. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๗] ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ขอพระคุณเจ้าโปรดยกโทษเถิด
ประชาชนอ้อนวอนพระคุณเจ้า
ขอพระคุณเจ้าโปรดช่วยบรรเทาความเร่าร้อน
และขอพระคุณเจ้าอย่าได้ทำแว่นแคว้นให้พินาศเลย 
Sadevā manussā sabbe sadānavā*sarakkhasā /
ayo*mayena kūṭena siraṃ bhiñjeyyuṃ me sadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๘] มวลมนุษย์พร้อมทั้งเทวดา ทานพ และรากษส2
จะพึงเอาฆ้อนเหล็กทุบศีรษะของข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อ 
Udake aggi na saṇṭhāti bījaṃ selena rūhati /
agade kimi na saṇṭhāti kopo Buddhe na jāyati. // ApTha_1,6. // 
[๕๖๙] (พระพุทธเจ้าตรัสว่า)
ไฟย่อมไม่เกิดในน้ำ พืชย่อมไม่งอกบนแผ่นหิน
กิมิชาต3 ิ ย่อมไม่เกิดในยาพิษ ฉันใด
ความโกรธย่อมไม่เกิดในพระพุทธเจ้า ฉันนั้น 
Yathāpi bhūmi acalā appameyyo ca sāgaro /
anantako ca ākāso evaṃ Buddho *akhobhiyo.* // ApTha_1,6. // 
[๕๗๐] แผ่นดินไม่หวั่นไหว ฉันใด
พระพุทธเจ้าใครๆ ก็ให้กำเริบไม่ได้ ฉันนั้น
ทะเลประมาณมิได้ ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณประมาณมิได้ ฉันนั้น
และอากาศไม่มีที่สุด ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณไม่มีที่สุด ฉันนั้น 
Sadā khantā mahāvīra khamitā ca tapassino /
khantānaṃ khamitānañ ca gamanaṃ vo na vijjati.’ // ApTha_1,6. // 
[๕๗๑] พระพุทธเจ้าทั้งหลายฝึกฝนตนแล้ว
มีความเพียรมาก มีการงดโทษให้แก่ผู้อื่นและมีตบะ
ท่านผู้มีความอดทนและมีการอดโทษให้ แก่ผู้อื่น
จะไม่มีการลุอำนาจอคติ 
Idaṃ vatvāna sambuddho pariḷāhaṃ vinodayi /
mahājanassa purato nabhaṃ abbhuggamī tadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นกล่าวดังนี้แล้วได้บรรเทาความเร่าร้อน
เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าต่อหน้ามหาชน ในครั้งนั้น 
(047) Tena *kammen’ a*haṃ dhīra hīnattaṃ ajjhupāgato /
samatikkamma taṃ jātiṃ pāvisiṃ abhayaṃ puraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร
เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์จึงได้เข้าถึงภาวะที่เลวทราม
ล่วงเลยชาตินั้นมาเข้าสู่นคร(คือนิพพาน)ซึ่งไม่มีภัย 
Tadāpi maṃ mahāvīra ḍayhamānaṃ susaṇṭhitaṃ /
pariḷāhaṃ vinodesi sayambhuñ ca khamāpayiṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในครั้งนั้น
พระสยัมภูพุทธเจ้าเห็นข้าพระองค์ถูกไฟแผดเผาอยู่
(แต่)ดำรงอยู่ด้วยดี จึงทรงบรรเทาความเร่าร้อนให้
ข้าพเจ้าจึงทูลขอพระสยัมภูงดโทษให้ 
Ajjāpi maṃ mahāvīra ḍayhamānaṃ *tīh aggi*hi /
nibbāpesi tayo aggī sītibhāvañ ca pāpayi. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในวันนี้
พระผู้มีพระภาคทรงช่วยข้าพระองค์ผู้ถูกไฟ ๓ กอง แผดเผาอยู่
ให้ถึงภาวะสงบเย็น และทรงช่วยดับไฟ ๓ กองให้แล้ว 
Yesaṃ sotāvadhān’ atthi suṇotha mama bhāsato: /
atthaṃ tuyhaṃ pavakkhāmi yathā diṭṭhapadaṃ mamaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๖] ขอให้ท่านทั้งหลายผู้เงี่ยโสตสดับ จงตั้งใจฟังข้าพเจ้ากล่าว
ข้าพเจ้าจะบอกประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย
โดยประการที่ข้าพเจ้าได้เห็นบท แล้ว 
{Sayambhuṃ} taṃ vimānetvā santacittaṃ samāhitaṃ /
tena kammen’ a*haṃ ajja jāto 'mhi nīcayoniyam // ApTha_1,6. // 
[๕๗๗] ข้าพเจ้าดูหมิ่นพระสยัมภูพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น
เพราะกรรมนั้น ในปัจจุบันนี้
จึงมาเกิดในชาติตระกูลต่ำ 
Mā vo khaṇaṃ virādhetha khaṇātītā hi socare. /
Sadatthe vāyameyyātha khaṇo vo paṭipādito. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๘] ท่านทั้งหลายอย่าได้พลาดขณะ ไปเลย
เพราะเหล่าสัตว์ผู้ล่วงเลยขณะไปย่อมเศร้าโศก
ขอท่านทั้งหลายพึงพยายามในประโยชน์ตนเถิด
ขณะท่านทั้งหลายให้สำเร็จแล้ว 
Ekaccāna ca vamanaṃ ekaccānañ ca virecanaṃ /
visaṃ haḷāhaḷaṃ ete ekaccānañ ca osadhaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลบางพวก
ยาถ่ายแก่บุคคลบางพวก ยาพิษร้ายแรงแก่บุคคลบางพวก
และยารักษาแก่บุคคลบางพวก 
Vamanaṃ paṭipannānaṃ phalaṭṭhānaṃ virecanaṃ /
osadhaṃ phalalābhīnaṃ puññakkhettaṃ gavesinaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๐] คือพระผู้มีพระภาค ตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ
ตรัสบอกยาถ่ายแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในผล
ตรัสบอกยารักษาโรคแก่บุคคลผู้ได้ผลแล้ว
ตรัสบอกบุญเขตแก่บุคคลผู้แสวงบุญ 
Sāsanena viruddhānaṃ visaṃ haḷāhaḷaṃ yathā /
āsīviso daṭṭhaviso evaṃ jhāpeti taṃ naraṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๑] ตรัสบอกยาพิษร้ายแรง(คือบาปอกุศล)
แก่บุคคลผู้เป็นข้าศึกต่อศาสนา
ยาพิษร้ายแรงย่อมแผดเผานรชนนั้น
เหมือนอสรพิษร้าย ฉะนั้น 
Sakiṃ pi taṃ haḷāhaḷaṃ uparundhati jīvitaṃ /
sāsanena virujjhitvā kappakoṭim hi ḍayhati. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๒] ยาพิษร้ายแรงที่บุคคลดื่มแล้วเพียงครั้งเดียว
ก็ย่อมทำให้เสียชีวิตได้ บุคคลทำผิดต่อศาสนาแล้ว
ย่อมถูกแผดเผานับเป็นโกฏิกัป 
Khantiyā avihiṃsāya mettacittavatāya ca /
sadevakaṃ so tarati tasmā vo avirodhiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๓] พระองค์ทรงช่วยสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามพ้น(สังสารวัฏ)
ด้วยขันติ ด้วยความไม่เบียดเบียน
และด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้ 
Lābhālābhe na sajjanti sammānane vimānane /
paṭhavī sadisā Buddhā tasmā te n’ avirodhiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๔] พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นเช่นพื้นปฐพี
ไม่ทรงติดข้องในลาภ ในความเสื่อมลาภ
ในความสรรเสริญ ในความถูกดูหมิ่น
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้ 
Devadatte ca vadhake core Aṅgulimālake /
Dhanapāle Rāhule ca sabbesaṃ samako muni. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๕] พระมุนีทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในสัตว์ทั้งปวง คือ ในพระเทวทัต
นายขมังธนู โจรองคุลีมาล พระราหุล และช้างธนบาล 
(048) Etesaṃ paṭighaṃ n’ atthi, rāgo 'mesaṃ na vijjati /
sabbesaṃ samako buddho *vadhakass orasassa ca.* // ApTha_1,6. // 
[๕๘๖] พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่มีความแค้นเคือง ไม่มีความกำหนัด
เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในชนทั้งหมด
คือในนายขมังธนู และในพระโอรส 
Panthe disvāna kāsāvaṃ chaḍḍitaṃ mīḷhamakkhitaṃ /
sirasā añjaliṃ katvā vanditabbaṃ isiddhajaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๗] ท่านทั้งหลายได้พบผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระฤๅษี
ซึ่งเปื้อนคูถ ถูกทิ้งไว้ที่หนทาง
ก็พึงประนมมือเหนือศีรษะแล้วไหว้เถิด 
Abbhātītā ca 'me Buddhā vattamānā anāgatā /
dhajenānena sujjhanti tasmā ete namassiyā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๘] พระพุทธเจ้าเหล่าใดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยธงชัยนี้
เพราะเหตุนั้น จึงควรนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้น 
Satthukappaṃ suvinayaṃ dhāremi hadayen’ ahaṃ /
namassamāno vinayaṃ viharissāmi sabbadā. // ApTha_1,6. // 
[๕๘๙] ข้าพเจ้าทรงจำวินัยที่ดีงาม
เช่นกับองค์แทนพระศาสดาไว้ด้วยหทัย
ข้าพเจ้านมัสการวินัยอยู่ในกาลทั้งปวง 
Vinayo āsayaṃ mayhaṃ vinayo ṭhānacaṅkamaṃ /
kappemi vinaye vāsaṃ vinayo mayhaṃ gocaro. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๐] วินัยเป็นที่อาศัยของข้าพเจ้า เป็นที่ยืนเดินของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสำเร็จการอยู่ในวินัย วินัยเป็นอารมณ์ของข้าพเจ้า 
Vinaye pāramippatto samathe cāpi kovido /
Upāli taṃ mahāvīra pāde vandati satthuno. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ภิกษุชื่ออุบาลีถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นผู้ฉลาดในวิธีระงับอธิกรณ์
ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา 
So ahaṃ vicarissāmi gāmāgāmaṃ purāpuraṃ /
namassamāno sambuddhaṃ dhammassa ca sudhammataṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๒] ข้าพเจ้านั้น เที่ยวไปจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง
นมัสการอยู่ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมซึ่งเป็นธรรมดี 
Kilesā jhāpitā mayhaṃ bhavā sabbe samūhatā /
sabbāsavā parikkhīṇā n’ atthi dāni punabbhavo // ApTha_1,6. // 
[๕๙๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าถอนได้แล้ว
อาสวะทั้งปวงก็สิ้นไปแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก 
Sāgataṃ vata me āsi buddhaseṭṭhassa santike /
tisso vijjā anuppattā kataṃ buddhassa sāsanaṃ. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๔] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว 
Paṭisambhidā catasso vimokhā pi ca atth’ ime /
chaḍabhiññā sacchikatā kataṃ Buddhassa sāsanan ti. // ApTha_1,6. // 
[๕๙๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล 
Go to Wiki Documentation
Enhet: Det humanistiske fakultet   Utviklet av: IT-seksjonen ved HF
Login